นางพิมพ์ชนก พิตต์ฟีลด์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า ในเดือนมกราคม 2564 นี้ สนค. จะเริ่มต้นการคำนวณดัชนีราคาผู้บริโภค หรืออัตราเงินเฟ้อ และดัชนีราคาผู้ผลิต โดยใช้ปีฐานใหม่ ซึ่งปกติต้องปรับทุก 4-5 ปี โดยรอบนี้ได้กำหนดรายละเอียดให้ตอบโจทย์พฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่ด้วยทั้งนี้ดัชนีราคาผู้บริโภคหรือเงินเฟ้อ ได้ปรับโดยใช้ปีฐาน 2562 ซึ่งเป็นปีที่สำนักงานสถิติแห่งชาติจัดทำการสำรวจสภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือนทั่วประเทศเสร็จ และเป็นปีที่ยังไม่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จึงมั่นใจว่าเป็นปีฐานที่เหมาะสม
ส่วนดัชนีราคาผู้ผลิตนั้น จะใช้ตาราง Input-Output ของสศช. ปี 2558 เป็นฐานเพราะเป็นข้อมูลล่าสุด โดยการปรับปีฐานของดัชนีทั้ง 2 ชุด มีการปรับปรุงที่สำคัญหลายมิติ ทั้งในเชิงโครงสร้าง ความครอบคลุม และวิธีการจัดทำ อีกทั้งยังคำนึงถึงการเชื่อมโยงและบูรณาการกับเครื่องชี้วัดเศรษฐกิจของหน่วยงานอื่นเพื่อให้ผู้ใช้สามารถใช้ประโยชน์จากเครื่องชี้วัดเหล่านี้ได้อย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพ
การปรับการคำนวณอัตราเงินเฟ้อใหม่ปีนี้ มีประเด็นที่สำคัญ เช่น ครอบคลุมครัวเรือนที่มีรายได้ 6,987 – 50,586 บาทต่อเดือน (จากเดิม 12,000 – 62,000 บาท) หรือคิดเป็นร้อยละ 71 ของครัวเรือนทั่วประเทศ (จากเดิมร้อยละ 29) รวมค่าใช้จ่ายไม่เป็นตัวเงินเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 42.19 (จากเดิมร้อยละ 30) ลดสัดส่วนครัวเรือนในกรุงเทพฯ และปริมณฑลลงเป็นร้อยละ 22 (จากเดิมร้อยละ 42) ปรับรายการสินค้าและบริการในตะกร้าเงินเฟ้อให้ทันสมัยและสอดคล้องกับพฤติกรรมทั้งในปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต
โดยเฉพาะยุคโควิด สุขภาพนิยม และสังคมผู้สูงอายุ โดยจะมีจำนวนสินค้าและบริการทั้งสิ้น 430 รายการ (จากเดิม 422 รายการ) ประกอบด้วยสินค้าจำนวน 341 รายการ และบริการจำนวน 89 รายการ โดยมีรายการสินค้าและบริการใหม่ๆ อาทิ หน้ากากอนามัย อาหารจากธัญพืช ผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผม ผลิตภัณฑ์รองพื้น ค่าอาบน้ำและตัดแต่งขนสัตว์ ค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย ยาขับลม ยาหม่อง ยาหอม เป็นต้น โดยมีการปรับน้ำหนัก (weight) ของการบริโภคแต่ละรายการให้สอดคล้องกับโครงสร้างจากสำนักงานสถิติฯ
นอกจากดัชนีราคาผู้บริโภคชุดทั่วไปทั้งประเทศแล้ว ยังมีการปรับเงินเฟ้อของกลุ่มนอกเขตเทศบาล ชุดผู้มีรายได้น้อย และชุดรายจังหวัดให้สอดคล้องกับวิธีการคำนวณและปีฐานใหม่ด้วย โดยเงินเฟ้อชุดผู้มีรายได้น้อยจะปรับมาใช้นิยามของนโยบายรัฐบาล คือ เป็นครัวเรือนที่มีรายได้ไม่เกิน 100,000 บาท/คน/ปี หรือไม่เกิน 22,665 บาทต่อครัวเรือน/เดือน หรือ 8,333 บาท/คน/เดือน (เฉลี่ยครัวเรือนละ 2.72 คน) เพื่อให้สามารถติดตามพฤติกรรมการใช้จ่ายของกลุ่มผู้มีรายได้น้อยได้ชัดเจนขึ้น อันจะเป็นประโยชน์ต่อการกำหนดนโยบายช่วยเหลือของรัฐบาลต่อไป
สำหรับดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ได้เปลี่ยนจากปีฐาน 2553 เป็นปีฐาน 2558 (ใช้ข้อมูลน้ำหนักโครงสร้างจากตาราง I/O ของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ) โดยมีการปรับปรุงที่สำคัญ ได้แก่ การปรับโครงสร้างหมวด/หมู่/รายการสินค้า โดยเฉพาะหมวดผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ให้มีความสอดคล้องกับการจัดประเภทมาตรฐานอุตสาหกรรมของประเทศไทย (TSIC) เพื่อให้ผู้ใช้บริการได้รับประโยชน์เพิ่มขึ้นในการนำข้อมูลดัชนีราคาผู้ผลิตไปใช้ในการวิเคราะห์ กำหนด และวางแผนนโยบายด้านการค้าร่วมกับเครื่องชี้วัดด้านอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งได้ปรับปรุงรายการสินค้าและสัดส่วนความสำคัญของสินค้าให้มีความทันสมัยตามโครงสร้างการผลิตของประเทศในปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต ส่งผลให้ดัชนีราคาผู้ผลิต ปีฐาน 2558 มีจำนวนรายการสินค้าทั้งสิ้น 501 รายการ
“การปรับปรุงปีฐานของทั้งสองดัชนีในครั้งนี้ ได้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาอย่างต่อเนื่องตลอดปี 2563 ทั้งในด้านวิธีการคำนวณ การคัดเลือกสินค้าและบริการลงตะกร้าการคำนวณ และการกำหนดขอบเขตกลุ่มตัวอย่าง จึงมั่นใจว่า เครื่องชี้วัดด้านราคาชุดนี้ จะสะท้อนพฤติกรรมการบริโภคและการผลิตได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังจะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของการบูรณาการเครื่องชี้วัดเศรษฐกิจของประเทศในระดับโครงสร้าง เพื่อให้ผู้ใช้สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นอีกด้วย ทั้งนี้ ดัชนีปีฐานใหม่ทั้งสองชุดจะเริ่มเผยแพร่อย่างเป็นทางการในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564”