เปิดแนวคิด‘สุรชัย ชาญอนุเดช’ งัดทุกไม้เด็ดปั้น ‘ซานตาเฟ่’
ต้องยอมรับว่าร้านอาหารคืออีกหนึ่งธุรกิจที่สามารถสร้างการเติบโตได้ในระยะยาว (หากสินค้าดีมีคุณภาพ สะอาด และรสชาติอร่อย) แม้สภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวหากเทียบกับอีกหลายกลุ่มธุรกิจ เนื่องจากผู้บริโภคยุคใหม่นิยมรับประทานอาหารนอกบ้านมากขึ้น ดังนั้นในช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมา หลายคนได้เห็นแบรนด์ร้านอาหารใหม่ๆเกิดขึ้นมากมายเพื่อรองรับความต้องการ และหนึ่งในนั้นคือชื่อของ “ซานตาเฟ่” แบรนด์ร้านสเต๊กที่เข้ามาอยู่ในตลาดและในใจผู้บริโภค “ฐานเศรษฐกิจ” ได้มีโอกาสพูดคุยกับ “นาย สุรชัย ชาญอนุเดช” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เคที เรสทัวรองท์ จำกัด ถึงแนวคิดการบริหารงานและ แนวโน้มการแข่งขันของตลาดนับจากนี้
ปูพรม100สาขาทั่วไทย
CEO ซานตาเฟ่ สะท้อนทิศทางการแข่งขันของตลาดสเต๊กเมืองไทยว่า การแข่งขันในตลาดมีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเป็นผลจากที่ผู้บริโภคหันมาให้ความสนใจในการรับประทานเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดผู้ประกอบการหน้าใหม่เข้ามาร่วมชิงชัยในตลาดเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังมีการทำโปรโมชันกันมากเพื่อดึงดูดลูกค้าทำให้มีทั้งแบรนด์ที่โด่งดัง และแบรนด์ที่หายไปในช่วงเวลาที่ผ่านมา โดยภาพรวมตลาดสเต๊กในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา การเติบโตยังไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจ ซึ่งส่วนของ “ซานตาเฟ่” มียอดขายรวมตกลงมาที่ 10% จากสาขาเดิม ขณะที่แนวโน้มในไตรมาส 2 เริ่มดีขึ้นจากช่วงเทศกาลสงกรานต์และมาตรการกระตุ้นรับประทานแล้วได้ลดหย่อนภาษีของภาครัฐเข้ามาเป็นตัวไดร์ฟสำคัญ
สำหรับแผนงานรองรับการแข่งขันที่สูงขึ้นในปีนี้ คือเตรียมเดินหน้าขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนขยายสาขาทั้งสิ้น 20 สาขา จากปีที่ผ่านมาที่มีการขยายสาขา 18 สาขา ซึ่งเป็นรูปแบบของการลงทุนเอง 50% และขยายในรูปแบบแฟรนไชส์อีก 50% ภายใต้งบประมาณการลงทุนที่ 7 ล้านบาทต่อสาขาหรือคิดเป็นเม็ดเงินลงทุนเฉพาะในส่วนของสาขาอยู่ที่ 140 ล้านบาท ซึ่งจะส่งผลให้ในสิ้นปีจะมีจำนวนสาขาครบ 100 สาขา แบ่งเป็นสาขาที่ลงทุนเอง 55 สาขา และแฟรนไชส์ 45 สาขา จากปัจจุบันที่มีสาขาอยู่ที่ 86 สาขา
อัดแคมเปญกระตุ้นยอดขายโต
เพื่อเป็นการกระตุ้นตลาดในไตรมาส 2 ช่วงหลังสงกรานต์ที่กำลังซื้อในส่วนของร้านอาหารเริ่มชะลอตัวลง และเพื่อเป็นการสร้างการเติบโตในสภาวะที่ตลาดมีการแข่งขันสูง “สุรชัย” บอกว่า บริษัทวางงบประมาณการทำตลาดปีนี้ไว้ที่ 120 ล้านบาท เพิ่มจากปีที่ผ่านมาที่ใช้เพียง 80 ล้านบาท โดยจะให้ความสำคัญกับการสื่อสารกิจกรรมทางการตลาดผ่านสื่อทีวีมากกว่า 70% สื่อนอกบ้าน 20% และผ่านช่องทางออนไลน์ 10% อย่างไรก็ตามหลังจากกระแสการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทตัดงบประมาณด้านการตลาด 20 ล้านบาทเพื่อนำมาใช้ในการจัดโปรโมชั่นลดราคาในรูปแบบต่างๆตลอดทั้งปี
ทั้งนี้การจัดงบประมาณในรูปแบบดังกล่าว เป็นไปตามนโยบายการทำงานในปีนี้ ที่จะให้ความสำคัญกับการจัดโปรโมชั่นด้านราคามากกว่าปีที่ผ่านมา หรือมีความถี่ขึ้นเป็น 2 เดือนต่อครั้ง จากปีที่ผ่านมา 3 เดือนต่อครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการเปิดตัวเมนูใหม่ในแต่ละช่วงเวลา การนำเมนูที่มีมาจัดโปรโมชั่นส่งเสริมยอดขายราว 7-8 เมนู โดยจะลดราคาตั้งแต่ 10-20% แล้วแต่แคมเปญที่จะออกมาในแต่ละช่วงเวลา ขณะที่การเปิดตัวเมนูใหม่ในปีนี้จะอยู่ที่ 3 เมนู
ล่าสุดออกเมนูใหม่ คือ “สเต๊กไก่ซอสเกาหลี” ขายราคา 64 บาท จากราคาปกติ 128 บาท เป็นเวลานาน 2 เดือน ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 14 มิถุนายน 2559 โดยโปรโมชันนี้จะช่วยทำให้มีลูกค้าใหม่ๆ ทั้งยังเพิ่มความถี่ในการเข้าร้านของลูกค้าเพิ่มขึ้นจากเดิม 3 ครั้งต่อเดือน เป็น 4 ครั้งต่อเดือน และเพิ่มค่าใช้จ่ายเฉลี่ยจากเดิม 175 บาทต่อคนในกรุงเทพฯ และ 172 บาทต่อคนในต่างจังหวัด ซึ่งคาดว่าจะช่วยทำให้ยอดขายในช่วงไตรมาส2 เติบโตขึ้น 25% ทั้งที่ปกติแล้วไตรมาสนี้จะเติบโตแบบทรงตัว โดยมั่นใจว่าปีนี้จะมียอดขายรวมประมาณ 2 พันล้านบาท เพิ่มจากปีที่แล้วที่ทำได้ประมาณ 1.4 พันล้านบาท
“หลังจากที่เราจัดโปรโมชั่นสเต๊กบัดดี้ ในช่วงที่ผ่านมาและได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดี มาวันนี้เราก็เดินหน้าจัดโปรโมชั่นสเต๊กไก่ ซอสเกาหลี โดยลดราคาลงมา 50% ตลอดช่วงระยะเวลา 2 เดือนหลังจากนี้ มีจุดประสงค์หลัก 3 ประการได้แก่ 1.เพื่อกระตุ้นยอดขายในช่วงหลังสงกรานต์ หลังจากที่ประชาชนลดการจับจ่าย 2.เพื่อคืนกำไรให้แก่ลูกค้าเดิมที่เป็นแฟนของทางร้าน และ 3.เพื่อขยายฐานไปยังลูกค้ากลุ่มใหม่ๆที่ยังไม่เคยรับประทานซานตาเฟ่ สเต๊ก ให้หันมาสนใจ โดยใช้กลยุทธ์ในเรื่องของราคาเพียง 64 บาทจากปกติ 128 บาทมาเป็นตัวดึงดูด”
เป้าอีก 2 ปีจ่อผุดสาขา ตปท.
ขณะเดียวกันบริษัทยังมีแผนขยายสาขาไปยังกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านในปี 2561 ในรูปแบบแฟรนไชส์ ไม่ว่าจะเป็น กัมพูชา เวียดนาม สปป.ลาว และเมียนมา โดยเบื้องต้นคาดการณ์ว่ามีความเป็นได้ใน 2 สาขาแรก คือที่ประเทศเวียดนามและสปป.ลาว
อย่างไรก็ตามปัจจุบันมูลค่าตลาดรวมสเต๊กมีมูลค่าประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น 4 กลุ่มได้แก่ 1.สเต๊กริมถนน 2.สเต๊กตึกแถว 3.สเต๊กในห้างฯและ4.สเต๊กในโรงแรม โดยตลาดใหญ่ที่สุดได้แก่ ตลาดสเต๊กริมถนน และสเต๊กตึกแถว
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,151 วันที่ 24 - 27 เมษายน พ.ศ. 2559