นายแพทย์ศรัณย์ วรรณจำรัส กรรมการผู้จัดการและผู้อำนวยการด้านการแพทย์ โรงพยาบาลวรรณสิริ กล่าวว่า วรรณสิริ ก่อตั้งโดยการรวมตัวของทีมแพทย์มืออาชีพที่มีความเชี่ยวชาญจากหลากหลายสาขา เพื่อให้บริการความงามแบบครบวงจร ในราคาที่คุ้มค่าคุ้มคุณภาพ โดยเป็นความตั้งใจในการสร้างโรงพยาบาลมาตรฐานที่ครบครัน
ด้วยทีมอาจารย์แพทย์ และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านความงาม รวมทั้งเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการทางการแพทย์และธุรการกว่า 100 คน พร้อมเทคโนโลยีการแพทย์ล้ำสมัย โดยตั้งเป้าในการยกระดับมาตรฐานใหม่แห่งความงาม ให้เกิดขึ้นจริง พร้อมทั้งเป็นผู้นำในการบริการความงามครบวงจรชั้นนำของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
โดยให้บริการความงามครบวงจรไม่ว่าจะเป็นการดูแลรักษาผิวหน้า-การปรับรูปหน้า, การปรับรูปร่าง-กระชับหุ่น-ดูดไขมัน,การศัลยกรรมทรวงอก, นรีเวช, ฮอร์โมน, จุดซ่อนเร้น, บริการดูแลสุขภาพ และเวชศาสตร์ชะลอวัย ที่ดูแลได้ถึงระดับเซลล์ ไปจนถึงการผ่าตัดแปลงเพศ (Transgender)
นอกจากความพร้อม “ด้านเทคนิค” และ “บุคลากรทางการแพทย์” ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางในแต่ละแผนกแล้ว วรรณสิริยังโดดเด่นในด้านการผสมผสานเทคโนโลยีการแพทย์ทันสมัย อาทิ นวัตกรรมห้องผ่าตัด เราใช้โมดูลห้องผ่าตัดที่เป็นระบบพิเศษ สิทธิบัตรจากประเทศอังกฤษ หรือที่เรียกว่า Clean Room
รวมไปถึง การใช้เทคโนโลยีล่าสุดที่จะช่วยให้แผลเล็ก ฟื้นตัวเร็ว ได้ผลลัพธ์ความงามที่น่าพึงพอใจ,การสร้างแบบจำลอง 3 มิติความละเอียดสูง เพื่อให้คำปรึกษาก่อนการตัดสินใจได้อย่างแม่นยำ, ระบบบริหารจัดการลงทะเบียน QR / Bluetooth, การประมวลผลภาพและเทคโนโลยี X-Ray ตลอดจนความใส่ใจในการให้ปรึกษาทุกขั้นตอน และการตรวจผลแล็บเชิงลึก
ทางด้านนายวนิก มโนมัยพิบูลย์ ผู้อำนวยการแผนกพัฒนาธุรกิจ โรงพยาบาลวรรณสิริ กล่าวว่า จากปัจจัยบวกเชิงนโยบายจากภาครัฐ ทำให้ภาพรวมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและการแพทย์ของไทยมีการขยายตัว แม้จะมีการหยุดชะงักไปบ้างจากสถานการณ์โควิด-19 แต่ประเทศไทยยังมีโอกาสกลับมาเติบโตในด้านนี้
ข้อมูลจาก International Society of Aesthetic Plastic Surgeons พบว่าในปี 2019 มีการทำศัลยกรรมตกแต่งเพิ่มขึ้นทั่วโลกกว่า 7.4% โดยผู้หญิงอายุ 35-50 ปีเป็นกลุ่มหลัก และมีการผ่าตัดหน้าอกจำนวนสูงที่สุด ตามด้วยการดูดไขมันปรับแต่งรูปร่าง และศัลยกรรมตา ในขณะที่ในประเทศไทยมีการผ่าตัด ตา และจมูก เป็นจำนวนสูงที่สุด และศัลยกรรมหน้าอกรองลงมา
ในจำนวนนี้ประเทศไทยมีสัดส่วนผู้ทำศัลยกรรมที่มาจากต่างประเทศสูงที่สุดถึง 33.2% ตามด้วยเม็กซิโก และตุรกี แสดงถึงความนิยมและศักยภาพด้าน Medical Tourism โดยเฉพาะด้านศัลยกรรมตกแต่ง โดยประเทศไทยเองมีการเติบโตของ Total Procedure ถึง มากกว่า 16% ในปี 2019
สำหรับปี 2020 นั้นสถิติรวมยังไม่ได้มีการรวบรวมแต่มีประมาณการณ์ว่า Medical Tourism ที่ลดลงและผลกระทบจากการ Lockdown อาจทำให้ตัวเลขโดยรวมลดลง แต่จากการวิเคราะห์ของ American Society of Plastic Surgeons ระบุว่าแนวโน้มความนิยมในการทำศัลยกรรมตกแต่งยังคงพุ่งแรง เนื่องมาจากการขับเคลื่อนของ Social Media การประชุมผ่าน วิดีโอคอล และสื่อภาพเคลื่อนไหวต่างๆ ที่เป็นที่นิยม ทำให้ผู้คนต้องการปรับปรุงภาพลักษณ์ของตนมากขึ้น
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยวิเคราะห์ว่าการผ่อนคลายข้อจำกัดของ Medical Tourism และการกลับเข้าสู่ภาวะธุรกิจปกติที่แม้จะไม่รวดเร็ว แต่จะทำให้กลุ่ม โรงพยาบาลเอกชนมีรายได้เพิ่มสูงสุดประมาณถึง 4% ในปี 2021 และมีผู้ที่เข้ารับการรักษาที่เป็นชาวต่างชาติอาจมากได้ถึง 1.77 ล้านคนในปีนี้ การเติบโตของศัลยกรรมตกแต่งและความงาม จะอาศัยความต้องการภายในประเทศเป็นหลักในช่วงแรก
จากจุดแข็งต่างๆ ของโรงพยาบาลวรรณสิริ ทำให้มั่นใจในศักยภาพการบุกตลาด เบื้องต้นเน้นกลุ่มพรีเมี่ยมที่ต้องการบริการศัลยกรรมคุณภาพ โดยมีความร่วมมือกับคลินิกเสริมความงามในประเทศและคลินิกเฉพาะทางในเกาหลีในการขยายฐานลูกค้า นอกเหนือจากฐานลูกค้าเดิมจากทีมแพทย์แต่ละท่าน ตลอดจนแผนการตลาดดิจิทัลต่างๆ
“นอกจากนั้น จากการที่เรามีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขาแบบครบวงจร จึงถือเป็นความแข็งแกร่งของโรงพยาบาล เพราะแพทย์หลายท่านมีประสบการณ์มานานกว่า 30 ปี เฉพาะศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางก็มีถึง 13 ท่าน มีฐานลูกค้าเดิมอยู่แล้วอย่างมากมาย รวมทั้งลูกค้าต่างชาติที่เคยบินมาศัลยกรรมกับแพทย์ท่านนั้นๆ
โดยลูกค้าต่างชาติส่วนใหญ่มักศึกษาหาข้อมูลมาอย่างดีก่อนจะมาถึงมือแพทย์ ถ้าไม่มั่นใจจริงๆ คงไม่ลงทุนบินมา ประกอบกับแนวทางของโรงพยาบาลวรรณสิริมีความพิเศษอยู่ที่การผสมเทคนิคหลากหลาย ทำให้ผู้รับการรักษาใช้เวลาน้อย เจ็บน้อยหายไว ฟื้นตัวเร็ว ไม่ต้องนอนโรงพยาบาลนาน”
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :