เปิดโมเดล‘ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์’ต่างชาติเที่ยวไม่ต้องกักตัว 1 ก.ค.นี้ 

02 เม.ย. 2564 | 03:00 น.
อัปเดตล่าสุด :02 เม.ย. 2564 | 11:10 น.

การวางเป้าหมายของรัฐบาล ในการผลักดันให้ “ภูเก็ต” เปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ฉีดวัคซีนโควิด-19 ครบโดสแล้ว เดินทางเข้ามาเที่ยวได้โดยไม่ต้องกักตัว  ภายใต้โมเดล “ภูเก็ต ทัวริสซึ่ม แซนด์บ็อกซ์” ที่จะคิกออฟตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.นี้ เป็นกุญแจสำคัญในการเปิดรับการท่องเที่ยวอย่างมีนัยสำคัญ

 

ก่อนจะขยายพื้นที่ไปยังอีก 5 จังหวัดที่เหลือ คือ กระบี่ พังงา สมุย พัทยา เชียงใหม่ต่อไปภายในไตรมาส 4 ปีนี้ นอกเหนือจากการลดจำนวนวันกักตัวจาก 14 วันเหลือ 7 วัน (สำหรับนักท่องเที่ยวที่ฉีดวัคซีนแล้ว และ เหลือ 10 วัน (สำหรับนักท่องเที่ยวที่ยังไม่ฉีดวัคซีน) ยกเว้นนักท่องเที่ยวจากทวีปแอฟริกาที่ยังคงต้องกักตัว 14 วันเหมือน  ที่มีผลตั้งแต่ 1 เม.ย.นี้ ใน 6 เมืองท่องเที่ยวหลัก ภูเก็ต กระบี่ พังงา สมุย พัทยา เชียงใหม่

เพราะตราบใดที่ยังมีการกักตัวบรรยากาศในการเดินทางท่องเที่ยวก็จะไม่สามารถเกิดขึ้นมาได้  สะท้อนได้จากการทำสำรวจตลาดต่างชาติ ที่ผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าจะไม่เดินทางหากจำเป็นต้องมีการกักตัวมากกถึง 68% ส่วนอีก 26% อาจจะมาหากกักตัวอยู่ที่ 10 วันหรือ 14 วัน ทั้งยังพบว่านักท่องเที่ยวต่างชาติเกือบครึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามเลือกที่จะเดินทางมาเที่ยวภูเก็ต กระบี่หรือเขาหลัก เป็นจุดหมายปลายทางต่อไป 

ส่วนจุดหมายปลายทางยอดนิยมอันดับต่อไป คือ สมุย เกาะพะงัน และเกาะเต่า เกินครึ่งกำลังมองหาการพักผ่อนบนชายหาด และกว่า 62% เลือกมาเที่ยวไทยอีกครั้งในช่วงฤดูหนาวปี 64-65 และเกือบทั้งหมดของผู้ตอบแบบสอบถามคิดว่าการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เป็นสิ่งสำคัญก่อนการเดินทางท่องเที่ยว 

การเปิดการท่องเที่ยวของภูเก็ต

การวางโมเดลแซนด์บ็อกซ์ (Sandbox) ที่เกิดขึ้น จึงตอบโจทย์ความต้องการในการเดินทางที่จะเกิดขึ้น เพราะอย่างน้อยไทยก็พอจะคาดหวังจำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเพิ่มขึ้นมาได้พอเป็นกอบเป็นกำ ไม่ใช่อยู่ที่เดือนละ 5-6 พันคนเท่านั้น

อีกทั้ง 3 จังหวัดฝั่งอันดามัน ในปี 62 ก็มีรายได้จากการท่องเที่ยวรวมกันมากถึง 6 แสนล้านบาท เป็น 1 ใน 5 ของรายได้จากการท่องเที่ยวในปี 62 หรือคิดเป็นกว่า 20% โดยภูเก็ตมากสุดอยู่ที่ 4.7 แสนล้านบาท กระบี่ 1แสนกว่าล้านบาท พังงา 4.5 หมื่นล้านบาท  การทำแซนด์บ็อกซ์ในพื้นที่เหล่านี้จึงมีความสำคัญต่อการทยอยฟื้นตัวของการท่องเที่ยวที่อย่างน้อยก็เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์บ้าง 

โมเดล 3T รับแซนด์บ็อกซ์

โครงการ “ภูเก็ต ทัวริสซึ่ม แซนด์บ็อกซ์” กุญแจสำคัญของโครงการนี้มี 3 เรื่องหลัก ได้แก่ 1.ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้แก่คนภูเก็ตก่อน ซึ่งเงื่อนไขการเปิดแซนด์บ็อกซ์ คนในพื้นที่ต้องได้รับการฉีดวัคซีนโควิดไม่ต่ำกว่า 70%  2.ยกเลิกการกักตัว (No Quarantine) สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบ 2 โดสแล้ว และ 3.ใช้กลยุทธ์การสื่อสาร เพื่อสร้างการรับรู้แก่ภาคท่องเที่ยวโลก ตลาดนักท่องเที่ยวในประเทศ และสร้างความรู้สึกที่ดีแก่คนในพื้นที่

สำหรับเป้าหมายการฉีดวัคซีนแก่ประชากรในภูเก็ตอยู่ที่ 466,587 คน หรือใช้วัคซีน 933,174 โดส โดยศูนย์กระจายวัคซีนมี 9 แห่งทั่วภูเก็ต ใช้ทีมแพทย์ 20 ทีม คิดเป็นบุคลากรทางการแพทย์ 400 คน ตั้งเป้าฉีดวัคซีนโดสแรกที่จะฉีดให้คนภูเก็ตเริ่มวันที่ 15 เม.ย.นี้ ส่วนโดสที่ 2 เริ่มฉีดวันที่ 15 พ.ค.นี้เป็นต้นไป

นอกจากนี้ภาครัฐและเอกชนยังได้ร่วมวางโมเดล 3T ได้แก่ 1.Targeted Countries กำหนดประเทศเป้าหมายโดยในช่วงระยะทดลอง ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.-30 ก.ย.2564 เตรียมดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติจากประเทศจีน สหราชอาณาจักร สิงคโปร์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อิสราเอล และรัสเซีย ส่วนในช่วงตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2564 เป็นต้นไป ตั้งเป้าดึงนักท่องเที่ยวที่ฉีดวัคซีนแล้วจาก 28 ประเทศเข้าไทยแบบไม่ต้องกักตัว แต่ถ้ายังไม่ได้ฉีดวัคซีนมา ต้องเข้ากักตัว 7 วัน          

2.Testing การตรวจสอบหาเชื้อโควิด-19 จากนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างละเอียด ตั้งแต่ขั้นตอนการเดินทางจากประเทศต้นทาง โดยต้องมีเอกสารรับรองว่าได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว (Vaccine Certification), พาสปอร์ตวัคซีน, IATA Travel Pass ซึ่งเป็นพาสปอร์ตดิจิทัลของสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ พอเดินทางมาถึงประเทศไทย ต้องได้รับการตรวจหาเชื้อแบบ PCR Full Test ที่สนามบิน และ 3.Tracing Application กำหนดให้นักท่องเที่ยวใช้แอปพลิเคชั่นไทยแลนด์พลัส (ThailandPlus) ติดตามตัว

“ภูเก็ต” รอด ประเทศไทยก็รอด

ทั้งนี้คาดการณ์ว่าโครงการภูเก็ต ทัวริสซึ่ม แซนด์บ็อกซ์ หากเริ่มดำเนินการได้ในวันที่ 1 ก.ค.นี้ จะช่วยสร้างรายได้ท่องเที่ยวเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของภูเก็ตไม่ต่ำกว่า 84,290 ล้านบาทในช่วงไตรมาส 3 และ 4 ปีนี้

นายณรงค์ วุ่นซิ้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า จังหวัดภูเก็ต มีความพร้อมในการเปิดรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ แต่การเปิด Quarantine ในหลายรูปแบบอย่างที่ผ่านมาแต่ยังต้องกักตัวอยู่ 14 วัน ทำให้มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเพียง 200 กว่าคนเท่านั้น จากปีหนึ่งมีนักท่องเที่ยว 10 ล้านคน ทำให้ภูเก็ตกระทบหนักมาก แต่ถ้าเรารุกตลาดต่างประเทศได้ ถ้าภูเก็ตรอดประเทศก็รอดด้วย 

นายก้องศักดิ์ คู่พงศกร นายกสมาคมโรงแรมไทยภาคใต้ กล่าวว่า การเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ฉีดวัคซีนแล้วเข้ามาเที่ยวภูเก็ตโดยไม่ต้องกักตัว ที่เริ่มรับนักท่องเที่ยวตั้งแต่ 1 ก.ค.นี้ เป็นเรื่องที่ดีมาก แต่คาดว่านักท่องเที่ยวต่างประเทศเข้ามาน้อย เนื่องจากหลายประเทศยังไม่ให้คนเดินทางออก อาทิ จีน ออสเตรเลีย จึงขอให้กระทรวงต่างประเทศเร่งเจรจาTravel bubble กับประเทศทีมีความเสี่ยงต่ำเข้ามาภูเก็ต    

ในส่วนโรงแรมที่เปิดบริการในภูเก็ตตั้งแต่ 1 ก.ค. 64 มีจำนวน 1-2 หมื่นห้อง เพียงพอรองรับตลาดคนไทยและตลาดต่างประเทศ โดยในช่วง 1 ต.ค.นี้โรงแรมจะทยอยเปิดให้บริการกันมากขึ้น แต่ยังมีอุปสรรคเรื่องสภาพคล่องของธุรกิจที่ต้องรีโนเวตก่อนเปิดรับลูกค้า ทางภาคเอกชนได้ขอซอฟต์โลนไปแล้ว รัฐก็ควรต้องช่วยในส่วนนี้ด้วย

วอนอย่าตัดราคา ดึงต่างชาติ

นางสาวประชุม ตันติประเสริฐสุข กรรมการสมาคมโรงแรมไทย (ทีเอชเอ) เผยว่า เมื่อรัฐบาลมีทิศทางในการทยอยเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะโมเดลภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์ ก็จะทำให้ผู้ประกอบการสามารถวางแผนในการโปรโมทการท่องเที่ยวได้ ซึ่งตนในฐานะดูแลด้านการตลาดของทีเอชเอ ก็มองว่าการทำการตลาดและการขายการท่องเที่ยวหลังโควิด-19 จะเปลี่ยนไป 

โดยนักท่องเที่ยวที่ยังขาดความมั่นใจก็อาจจะเลือกจองผ่านบริษัททัวร์ แต่จะมีการจองมามาก คือจากเว็บไซต์ และการจองตรงกับโรงแรมก็จะเพิ่มขึ้น ซึ่งโรงแรมระดับ 4-5 ดาวเราไม่ห่วง แต่โรงแรมระดับ 3 ดาวหรือโรงแรมเดี่ยวที่ไม่ได้เป็นเครือโรงแรม ทีเอชเอก็ต้องเข้าไปช่วยเรื่องเทรนนิ่งในการเตรียมความพร้อมในการขาย 

ทั้งสิ่งที่เป็นห่วงคือ หวั่นว่าผู้ประกอบการโรงแรมในภูเก็ตจะตัดราคา เพื่อดึงลูกค้า ซึ่งการขายต่างประเทศราคาจะต้องวางยาว 6 เดือนถึง 1 ปี ไม่เหมือนการขายคนไทย ที่การลดราคาลงได้ก็ขึ้นได้เร็ว ดังนั้นหากตัดราคาแข่งขันชิงตลาดต่างชาติ การจะฟื้นตัวของธุรกิจก็จะต้องลากยาวออกไปอีก 

หน้า 21-22 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 41 ฉบับที่ 3,667 วันที่ 4 - 7 เมษายน พ.ศ. 2564

ข่าวที่เกี่ยวข้อง: