นาย ภวัต เรืองเดชวรชัย ประธานกรรมการ บริษัท มีเดีย อินเทลลิเจนซ์ จํากัด หรือ MI เปิดเผยว่า การกลับมาของกรรมกรข่าวตัวพ่อ อย่าง สรยุทธ สุทัศนะจินดา ในครั้งนี้ จะส่งผลอย่างมีนัยยะสำคัญในหลายๆเรื่อง เช่น ความสนใจในการติดตามข่าวสาร อิทธิพลทางความคิด ความรู้สึก ของผู้ชมรายการโทรทัศน์ต่อข่าวสาร ความเคลื่อนไหวต่างๆ และการสร้างแรงกระเพื่อมให้กับเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งเป็นพิเศษ ซึ่งในอดีต สรยุทธ มีบทบาทสำคัญต่อเรื่องเหล่านี้
การคืนจอของ สรยุทธ น่าจะส่งผลบวกโดยตรงต่อรายการข่าวของช่อง 3 ที่จะได้อานิสงส์เชิงบวกอย่างทันทีนั่นหมายความว่าเรตติ้งน่าจะกลับมาดี ซึ่งMIเชื่อว่า สรยุทธ จะมีผลต่อการรับชมรายการข่าวของคนดูทีวีหรือคนทั่วไปบนโซเชียลซึ่งส่งผลต่อเม็ดเงินโฆษณาสื่อทีวีโดยรวม
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของสรยุทธคือ ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่ปี 2014 หลังจากมีมีดิจิตอลทีวี จนกระทั่งปัจุบันมีผู้ชมลดลงถึง 25% โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ซึ่งมีไลฟ์สไตล์ใช้ชีวิตนอกบ้านมากขึ้นใช้มี social media เป็นหลัก ส่งผลต่อพฤติกรรมการบริโภคสื่อ พฤติกรรมของผู้ชมหรือผู้เสพรายการข่าว หรือคอนเทนท์ประเภทข่าวเปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ
ทั้งการรับชมรายการข่าวผ่าน TV ช่องต่างๆ และช่องทางออนไลน์หรือผ่าน Social Media ของ Publishers และ KOLs ที่หลากหลาย (ทั้งมืออาชีพและมือสมัครเล่น) เป็นที่นิยมมากขึ้นในวงกว้าง จนกลายเป็นพฤติกรรมหลักไปแล้วสำหรับคนหลายกลุ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มคนเมืองและคนรุ่นใหม่
ดังนั้นการกลับมาทำหน้าที่ผู้ดูแลรายการข่าว ผู้ดำเนินรายการข่าวของ สรยุทธ อาจเป็นเรื่องยากและท้าทายมากที่จะดันเรตติ้งกลับไปที่จุดเดิมหรือสูงกว่าเรตติ้งเมื่อ 5 ปีที่แล้ว จากข้อมูลเรตติ้งเฉลี่ยของ ”รายการเรื่องเล่าเช้านี้” ในช่วงที่สรยุทธยังจัดรายการอยู่ เปรียบเทียบกับเรตติ้งเดือนล่าสุด ตกลงมากกว่า 60% และ”รายการเรื่องเล่าเสาร์อาทิตย์” ตกมากกว่า 30%
เรตติ้งเฉลี่ยของรายการ “เรื่องเล่าเช้านี้” และ “เรื่องเล่าเสาร์-อาทิตย์”เริ่มลดลงในเดือนมีนาคม 2016 (2559) หลังจากสรยุทธ์ ยุติการจัดรายการและเรตติ้งค่อยๆ ลดลงอย่างต่อเนื่อง จนค่อนข้างคงที่ตั้งแต่ปี 2018 จนถึงปัจจุบัน
ช่วงมาตรการ Lock-down จาก Covid-19 ระลอกแรก เรตติ้งของ “เรื่องเล่าเสาร์-อาทิตย์” และ “เรื่องเด่นเย็นนี้” สูงขึ้นอย่างชัดเจน อาจเนื่องจากช่วงเวลาระหว่างวัน ที่ผู้ชมไม่สามารถออกไปทำกิจกรรมนอกบ้านได้ตามปกติ ในขณะที่ “เรื่องเล่าเช้านี้” เรตติ้งไม่มีเปลี่ยนแปลง
ช่วงมาตรการ Lock-down จากCovid-19 ระลอกแรก มีผลให้เรตติ้งทีวีสูงขึ้นกว่าช่วงเวลาปกติ 10%-15% ผู้ชมใช้เวลาดูทีวีเฉลี่ยในแต่ละวันมากขึ้นประมาณ 30 นาที ส่วนในระลอก 2 และระลอก 3 ไม่มีผลต่อเรตติ้งทีวีแต่อย่างใด
อีกภาพที่เห็นได้ชัดคือ ในอดีตจะมีผู้เล่นหลักๆในสนามข่าวคือช่อง 3 และช่อง 7 ซึ่งครองเรตติ้งรายการข่าวมายาวนานแต่ หลังจากที่ สรยุทธ ยุติการจัดรายการช่องที่ได้อานิสงส์เชิงบวกทันทีคือรายการข่าวช่อง 7 ก่อนที่ช่องAmarin TV, WorkPoint TV, Thairath TV, One HD เริ่มเข้ามามีบทบาทในช่วง 4-5 ปีนี้ และมีความแข็งแรงด้านคอนเทนต์ข่าวพอสมควร
สิ่งที่น่าสนใจคือ ความนิยมในตัวของ สรยุทธ จะมีผลต่อการดึงเรตติ้งกลับมาอยู่ที่ช่อง 3 มากขึ้นหรือไม่และจะมีผลต่อการปรับตัวของช่องอื่นๆอย่างไร ในฐานะที่เป็นรายการข่าวที่แข็งแรงและเติบโตในช่วง 2-3 ปีนี้
และอีกส่วนที่น่าจับตามองคือราคาโฆษณา เพราะหลังจาก สรยุทธ ยุติการทำรายการ ตลอดจน เผชิญวิกฤติต่างๆรวมทั้ง โควิด 19 ราคาเรตโฆษณาของรายการข่าวช่อง 3 ไม่มีการปรับลง และคงที่ราวๆ 200,000 บาทต่อนาที แต่หลังจากความนิยมลดน้อยลงเรตติ้งก็เริ่มตก ทางเอเจนซี่อาจมีการต่อรองลดราคาหลังบ้านเป็นกรณีพิเศษ
อย่างไรก็ตามเชื่อว่าจะยังไม่เห็นการปรับขึ้นของราคาโฆษณาเร็วๆนี้แน่นอน แต่จะเห็นราคาที่ยืดหยุ่นน้อยลง โปรโมชั่นน้อยลงจากรายการข่าวของช่อง 3 ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับความนิยมของตัว สรยุทธ และ รายการข่าวของช่อง 3 ด้วย ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้ลูกค้าจะตอบรับหรือไม่ตอบรับราคาดังกล่าว
หากย้อนกลับไปเมื่อครั้ง สรยุทธ ได้รับความนิยม ลูกค้าที่ซื้อโฆษณารายการข่าว 3 ไม่ได้ซื้อโฆษณาเพราะราคา แต่ยอมจ่ายเพราะ ความนิยมของรายการ และตัว สรยุทธ มากกว่า โดยสัดส่วนเม็ดเงินโฆษณาจะอยู่ที่รายการข่าว 25%
แม้ว่าข่าวการคืนจอของ สรยุทธ จะยังไม่เห็น movement หรือการปรับตัวของช่องอื่นๆ แต่เชื่อว่าทุกช่องเตรียมพร้อม และสิ่งแรกที่ช่องอื่นจะทำหาก สรยุทธ สามารถทำให้เรตติ้งช่อง 3 กลับมาพลิกนำ คือ ใช้เทคนิคการตลาด เช่นมีการปรับราคาโฆษณา ให้น่าสนใจมากขึ้นเพื่อให้เอเจนซี่หรือลูกค้าสามารถซื้อราคาที่คุ้มมากขึ้น
“ทาง MI มองว่าบทบาทและความนิยมในตัวสรยุทธในปัจจุบัน ภายใต้ สมรภูมิสื่อที่เปลี่ยนไปในยุคดิจิตัลที่ Social Media มีอิทธิพลต่อคนไทยอย่างมากใน (Changing Media Landscape) สรยุทธไม่ใช่เป็นเพียงแค่ผู้ดูแล ควบคุมและดำเนินรายการข่าว แต่สรยุทธถือว่าเป็น Influencer (KOL) แนวหน้าที่ทรงพลังที่สุดคนนึงก็ว่าได้ นอกเหนือจากการเป็นผู้ดำเนินรายการข่าว คุยข่าว สรยุทธยังเป็นผู้สร้างคอนเทนท์ข่าว การนำเสนอในสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ และสามารถปลุกกระแสข่าว สร้างแรงกระเพื่อม (Call to Action) ในกิจกรรมต่างๆได้อย่างมาก”
เพราะฉะนั้นการวัดความนิยมในตัวสรยุทธในฐานะกรรมกรข่าว คงวัดจากเรตติ้งผู้ชมรายการข่าวทาง TV ของช่อง3 อย่างเดียวคงไม่พอ การคำนึงถึงจำนวนผู้ชมและผู้มีส่วนร่วมในช่องทางออนไลน์ social media ต่างๆ น่าจะเป็นคำตอบที่ทำให้ภาพชัดเจนถึงความนิยมและอิทธิพลของสรยุทธต่อคนไทยและผู้บริโภคข่าวจากหลากหลายช่องทางด้วย”
ข่าวที่เกี่ยวข้อง