นายกวิน เฉลิมโรจน์ ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยูไนเต็ด เพาเวอร์ ออฟ เอเชีย จำกัด (มหาชน) หรือ UPA เปิดเผยว่า คณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติในหลักการให้บริษัท แคนนา แคร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย เข้าลงทุนจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนจากบริษัท โกลเด้น ไทรแองเกิ้ล กรุ๊ป จำกัด ในสัดส่วน 2.27% ของหุ้นสามัญทั้งหมด จำนวน50 ล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทเป้าหมายมีการประกอบธุรกิจที่เกี่ยวกับการผลิตและจำหน่ายกัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ บริษัทเป้าหมายได้ร่วมมือกับสถาบันอุดมศึกษา เพื่อการผลิตและสกัดกัญชาเพื่อการวิจัยเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์
อย่างไรก็ตาม การเข้าทำรายการลงทุนในบริษัทเป้าหมาย ยังมีความไม่แน่นอน เนื่องจากบริษัทจะต้องทำการตรวจสอบสถานะของกิจการ (Due diligence) ของบริษัทเป้าหมาย รวมถึงคู่สัญญายังต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขบังคับก่อนที่สำคัญได้แก่ ผลการตรวจสอบสถานะกิจการของบริษัทเป้าหมายเป็นที่พึงพอใจแก่ บริษัท
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเงื่อนไขที่สำคัญ คือ การประกอบธุรกิจที่เกี่ยวกับกัญชาจะต้องไม่เป็นการประกอบธุรกิจที่ผิดกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งในเบื้องต้นสถาบันอุดมศึกษาดังกล่าวได้รับใบอนุญาตให้ปลูกและสกัดกัญชา เพื่อการวิจัยเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์แล้ว นอกจากนี้ การเพิ่มทุนประสบผลสำเร็จและได้รับการขำระค่าหุ้นเพิ่มทุนเต็มจำนวนจากผู้ลงทุนรายอื่นซึ่งเป็นที่พึงพอใจแก่บริษัท
ในกรณีที่บริษัทเห็นว่า ผลการตรวจสอบสถานะของกิจการ และเงื่อนไขอื่นๆ เป็นที่พึงพอใจ บริษัทจะพิจารณาเข้าทำรายการลงทุน ซึ่งคาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ภายในเดือน พ.ค.2564
UPA ก่อตั้งขึ้นในปี 2543 ปัจจุบันเป็นเจ้าของ บริษัท ย่อย 8 แห่งซึ่งมีธุรกิจหลัก 3 ธุรกิจโดยลงทุนในธุรกิจพลังงาน ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และข้อมูล และสาธารณูปโภค โดยล่าสุดจัดตั้งบริษัทย่อยใหม่ บริษัท แคนนา แคร์ จำกัด เพื่อลงทุนในบริษัทหรือธุรกิจที่เกี่ยวกับการพัฒนาและลงทุนในพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ของประเทศไทย ซึ่งรวมถึง กัญชง และกัญชา เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ ซึ่งจะเป็นอีกธุรกิจหนึ่งที่หนุนการ TURN Around ของผลประกอบการของบริษัท
สำหรับบริษัท โกลเด้น ไทรแองเกิ้ล กรุ๊ป จำกัด (GTG) เข้าลงทุนเกี่ยวกับการพัฒนาและลงทุนในพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ของประเทศไทย ซึ่งรวมถึง กัญชง และกัญชา เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ ปัจจุบัน GTG มีนายชัชวาล เจียรวนนท์ นายพิชัย ชุณหวชิร คุณกฤษธ์ ธีรเกาศัลย์ นายนิสิต สิทธิอาษา Mr.Robert Stone และนางสาวกะรัต รุ่นประพันธ์ เป็นกรรมการบริษัท
บริษัทได้ร่วมกับบริษัทระดับนานาชาติในการนําเข้าเมล็ดกัญชาที่ดีที่สุดจาก 3 บริษัทด้วยกันได้แก่ DNA Genetics, Resin Seed และ Drury Lane
นอกจากนี้ บริษัททำการศึกษาวิจัยหาแม่พันธุ์กัญชงที่ถูกต้องตามกฏหมายคือมีปริมาณ THC ในช่อดอกแห้งไม่เกิน 1% และมีปริมาณ CBD สูง เพื่อนำมาผลิตสารสกัด CBD ที่มีปริมาณสาร THC ไม่เกิน 0.2% ซึ่งไม่ถือว่าเป็นยาเสพติดตามกฎหมายกำหนด ในปัจจุบัน GTG ประสบความสำเร็จในการพัฒนาและเป็นเจ้าของแม่พันธุ์กัญชง ซึ่งตั้งชื่อว่า “RAKSA” ที่ให้สาร CBD เฉลี่ยในดอกแห้งทั้งต้นได้ถึง 15.8% ซึ่งถือเป็นแม่พันธุ์กัญชงที่ให้ปริมาณสาร CBD สูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก
GTG มุ่งเน้นการขายต้นอ่อนและให้คำปรึกษาด้านการเพาะปลูก การทำฟาร์มให้ได้ผลผลิตสูง การจัดการอบรม และสัมมนาสำหรับนักธุรกิจและผู้ที่มีความสนใจ การทำเกษตรพันธสัญญา หรือ Contract Farming ซึ่งมีหลายองค์กรให้ความสนใจและเข้ามาศึกษาดูงานอย่างต่อเนื่อง
บริษัทพร้อมที่จะให้บริการเผยแพร่ทักษะและผลิตภัณฑ์ที่มี จากทีมงานที่มีประสบการณ์เพื่อขยายอุตสาหกรรม กัญชา-กัญชง ในประเทศไทย ให้ถูกต้อง (ตามข้อกฎหมาย) และถูกตัว (แม่พันธุ์) เพื่อการเพาะปลูกให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูง
นอกจากกัญชงพันธุ์ RAKSA แล้ว GTG ร่วมกับ ม.ราชภัฏเชียงราย ยังได้วิจัยแม่พันธุ์อื่น ๆ ที่ให้สาร CBD และ THC ในปริมาณที่แตกต่างกัน เพื่อรองรับกฎหมายการใช้ประโยชน์จากกัญชา ในอนาคต ปัจจุบัน GTG ได้เข้าเจรจาขอเป็นผู้ร่วมวิจัยด้านกัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์และการวิจัยสายพันธุ์ และเมื่อปี 2563 บริษัท ได้รับใบอนุญาตจาก อย.ร่วมกับมหาวิทยาลัยราชภัฎฯ
และในปี 2564 มีแผนการผลิต บริษัทสามารถเริ่มผลิตและจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ที่เกี่ยวข้องกัญชาทางการแพทย์ พร้อมทั้ง เพิ่มการผลิต CBD เป็น 75 ล้าน มิลลิกรัมต่อเดือน และCEI Interim / BKK Production
ส่วนในปี 2565 พร้อมขยายกำลังการผลิต CBD เป็น 150 ล้าน มิลลิกรัมต่อเดือน และส่งออกช่อดอกไม้อบแห้งทางการแพทย์ 200 กิโลกรัมต่อเดือน และในปี 2566 เริ่มสร้างโรงงานเมล็ดพันธุ์และผลิตกัญชาที่ซับซ้อน และเพิ่มการส่งออกดอกไม้อบแห้งทางการแพทย์ 500 กิโลกรัมต่อเดือน ผลิตเมล็ดพืชเพิ่ม พร้อมทั้งตั้งเป้ารายได้ 100 ล้านบาท รวมทั้งเพิ่มการผลิต CBD เป็น 300 มิลลิกรัมต่อเดือน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :