นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวภายหลังนาย ฟาน จี๊ ทัญ เอกอัครราชทูตแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมในกรณีที่เตรียมฉลองครบรอบ 45 ปี ความสัมพันธ์ไทย-เวียดนาม เร่งหารือแนวทางเสริมสร้างความเข้มแข็งด้านเศรษฐกิจและการค้าในยุคโควิด-19 พร้อมผลักดันแก้ไขปัญหาอุปสรรคในการส่งออกสินค้าไทย โดยภายหลังการ กระทรวงพาณิชย์ได้ขอให้ ทางการของเวียดนามเร่งแก้ไขปัญหาการค้าใน 5 ประเด็น คือ 1.ขอให้เวียดนามช่วยประชาสัมพันธ์งานจับคู่ธุรกิจออนไลน์ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 4-5 ส.ค.นี้ เพื่อเพิ่มมูลค่าการส่งออกร่วมกัน
2.ขอให้ประสานเปิดด่านวียดนามฝั่งจีนโหย่วอี้กวน เพื่อเชื่อมไปยังจีน เพราะขณะนี้เกิดปัญหาล่าช้าทำให้สินค้าจากไทยได้รับความเสียหายโดยเฉพาะสินค้าเกษตร ผัก ผลไม้ 3.ขอให้ทางการเวียดนามปรับกฎระเบียบการตรวจสอบคุณภาพยา เพราะปัจจุบันเวียดนามเพิ่มกฎระเบียบที่เข้มงวดมากขึ้นนอกเหนือจากที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ซึ่งไม่อ้างอิงกับกฎระเบียบที่กลุ่มประเทศอาเซียนปฎิบัติร่วมกัน
4.ขอให้เวียดนามทบทวนการใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (เอดี) และตอบโต้การอุดหนุน (ซีวีดี) สินค้าน้ำตาลทรายที่นำเข้าจากไทยที่ส่งผลให้มีการจัดเก็บภาษีนำเข้าน้ำตาลจากไทยจากปกติเก็บ 5% บวกเพิ่ม 46% รวมเป็น 51% และ 5.ขอให้เวียดนามผ่อนคลายการนำเข้าสุกรจากไทย โดยเฉพาะการตรวจสอบสุขอนามัย โดยยืนยันว่าไทยได้เข้มงวดทุกเรื่องในทุกล็อตการส่งออก ทั้งการเลี้ยงที่ได้มาตรการ จึงขอให้เวียดนามมั่นใจว่าสุกรของไทยมีคุณภาพ ทั้งนี้ไทยส่งออกสุกรไปเวียดนามปีละประมาณ 10,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ เอกอัครราชทูตแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามยังสนับสนุน ความเห็นของตนในการแสดงความเห็นในที่ประชุมเอเปกในประเด็นที่ไทยสนับสนุนให้ประเทศต่าง ๆสามารถใช้สิทธิพิเศษในการผลิตวัคซีนโดยให้เหตุผลสุขอนามัยของประชาชนหรือ CL วัคซีนหรือการมาตรการใช้ทริปส์ที่ให้ถือว่าวัคซีนปลอดการบังคับใช้สิทธิบัตรชั่วคราว เพื่อเปิดโอกาสให้ประเทศต่าง ๆสามารถผลิตวัคซีนได้ จะได้กระจายวัคซีนไปทั่วโลก ทั้งประเทศด้อยพัฒนาและกำลังพัฒนา
"ท่านทูตเวียดนามสนับสนุนความเห็นของผมเรื่องนี้ และประเทศไทยขณะนี้มีโรงงานผลิตวัคซีนเองคือสยามไบโอไซเอนซ์ ถ้ามาตรการทั้งสองอันนี้บังคับใช้ได้ เรามีโอกาสในการช่วยผลิตวัคซีนและส่งออกไปยังกลุ่มประเทศที่ต้องการโดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียนของเราและเวียดนามได้ด้วย " นายจุรินทร์ กล่าว
ทั้งนี้ไทยและเวียดนามมีมูลค่าการค้าร่วมกันปีที่ผ่านมา 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 600,000 ล้านบาท ปีนี้ตั้งเป้าไว้ที่ 25,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือ 750,000 ล้านบาท โดยมอบหมายเจ้าหน้าที่อาวุโสทั้ง 2 ประเทศ หารือกันว่าจะต้องใช้เวลากี่ปีและนำมาหารือร่วมกันในการประชุม JTC ร่วมกันในเดือนสิงหาคมต่อไป ซึ่งมั่นใจว่าจะทำได้ตามเป้าหมายเพราะ 4 เดือนแรก(ม.ค.-เม.ย.2564) มูลค่าการค้าขยายตัวถึง 20% ทั้งนี้ ประเทศเวียดนามถือคู่ค้าอันดับ 6 ของไทยในโลกและเป็นลำดับ 3 ของกลุ่มประเทศอาเซียน สินค้าที่ไทยส่งออกไปเวียดนามส่วนมากรถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ และสินค้าที่เวียดนามส่งมาไทย โทรศัพท์มือถือ น้ำมันดิบ เป็นต้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ส่งออก “เวียดนาม”ทิ้ง “ไทย”ไม่เห็นฝุ่น