5 สิงหาคม 2564 มีรายงานว่า บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ อินทัช ประกาศผลประกอบการครึ่งแรกของปี 2564 มีรายได้รวม 7,530 ล้านบาท กำไรสุทธิที่ 5,474 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 4.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากส่วนแบ่งกำไรจากเอไอเอสและไทยคมลดลง
นายเอนก พนาอภิชน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ขยายวงกว้างอย่างรวดเร็วทำให้บริษัทที่อินทัชเข้าไปลงทุนได้รับผลกระทบ เนื่องจากเกิดการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ และการใช้จ่ายอย่างระมัดระวังของผู้บริโภคส่งผลให้ส่วนแบ่งกำไรจากเอไอเอสลดลงร้อยละ 1 ซึ่งมาจากการลดลงของรายได้โทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นหลัก
ขณะที่ไทยคม มีส่วนแบ่งกำไรลดลงถึงร้อยละ 90 โดยมีสาเหตุหลักมาจากการรับรู้รายการพิเศษจากเงินชดเชยในไตรมาสที่ 2/2563 และรายได้ที่ลดลงของการให้บริการดาวเทียม อันเนื่องมาจากลูกค้ามีการใช้งานลดลง
ทั้งนี้ อินทัชจะจ่ายเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 1.23 บาท โดยกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) ในวันที่ 17 สิงหาคม 2564 และกำหนดจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 2 กันยายน 2564
ส่วนเอไอเอสมีผลกำไรสุทธิในงวดครึ่งแรกของปี 2564 ที่ 13,685 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 0.5 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ลดลงร้อยละ 2.4 ซึ่งเกิดจากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ชะลอตัว และการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรง
ในขณะที่ธุรกิจอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงมีรายได้เติบโตถึงร้อยละ 19 เนื่องมาจากความต้องการใช้งานที่เพิ่มขึ้นในช่วงล็อกดาวน์ ทั้งการทำงานที่บ้านและการเรียนออนไลน์จึงทำให้จำนวนผู้ใช้งานเอไอเอสไฟเบอร์มีการเติบโตเพิ่มขึ้นสุทธิ 104,000 รายในไตรมาสนี้
นอกจากนี้ในส่วนของลูกค้าองค์กรยังคงเติบโตได้ดีต่อเนื่อง จากความต้องการของภาคธุรกิจที่นำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาปรับใช้กับการดำเนินธุรกิจเพิ่มขึ้นโดยมีความต้องการใช้บริการโซลูชั่นต่างๆ เช่น Cloud Cybersecurity และ ICT ส่งผลให้รายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 12
ในส่วนของการขยายโครงข่าย 5G เอไอเอสสามารถขยายได้ครอบคลุมกว่าร้อยละ 25 ของประชากร โดยเน้นลงทุนบนคลื่นความถี่ย่าน 2600 เมกะเฮิรตซ์ ในพื้นที่ที่มีปริมาณการใช้งานสูง
ปัจจุบันเอไอเอสมีผู้ใช้บริการ 5G แล้วกว่า 1 ล้านราย คิดเป็นร้อยละ 9.6 ของฐานลูกค้ารายเดือน โดยปรับเป้าหมายจำนวนลูกค้า 5G เพิ่มขึ้นเป็น 2 ล้านรายภายในสิ้นปีนี้
ผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 ไทยคมมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 70 ล้านบาท ลดลงจากผลกำไรสุทธิ 695 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากมีการรับรู้รายการพิเศษจากเงินชดเชย ค่าใช้จ่ายทางด้านกฎหมายที่เพิ่มขึ้น และมีส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนในการร่วมค้า
ไทยคมมีรายได้จากการขายและให้บริการในงวดครึ่งแรกของปี 2564 ที่ 1,584 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 14 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากรายได้จากดาวเทียมแบบทั่วไปลดลงร้อยละ 13 จากการปลดระวางดาวเทียมไทยคม 5 ในเดือนกุมภาพันธ์ 2563 และการลดการใช้งานของลูกค้าในประเทศ
ขณะเดียวกัน รายได้จากดาวเทียมบรอดแบนด์ลดลงร้อยละ 15 จากการใช้งานลดลงของลูกค้าต่างประเทศ ซึ่งอัตราการใช้งานดาวเทียมแบบทั่วไป ณ สิ้นไตรมาส 2/2564 อยู่ที่ร้อยละ 64 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 63 ณ สิ้นไตรมาส 2/2563 และอัตราการใช้งานดาวเทียมบรอดแบนด์อยู่ที่ร้อยละ 18 ลดลงจากร้อยละ 19 ณ สิ้นไตรมาส 2/2563 ขณะที่ต้นทุนจากการขายและให้บริการลดลงตามการลดลงของรายได้จากการให้บริการดาวเทียมเป็นหลัก
ทั้งนี้ ไทยคมพร้อมที่จะเข้าประมูลสิทธิการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมจาก กสทช. เพื่อส่งเสริมธุรกิจดาวเทียมของประเทศไทยให้แข็งแกร่งพร้อมรับความต้องการใช้งานที่เพิ่มมากขึ้นด้วยศักยภาพและประสบการณ์ในการดำเนินธุรกิจที่มีมายาวนาน
สำหรับครึ่งแรกของปี 2564 โครงการอินเว้นท์ (InVent) ได้ลงทุนเพิ่มในบริษัท โคนิเคิล จำกัด และมีการตีมูลค่าเพิ่มจากการเพิ่มทุนในบริษัท แอกซินัน พีทีอี ลิมิตเต็ด หรืออิกลู จากการระดมทุนรอบใหม่ รวมทั้งได้รับเงินกู้ยืมคืนจากบริษัทสตาร์ทอัพรายหนึ่ง จึงทำให้มูลค่าการลงทุนในโครงการอินเว้นท์ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2564 อยู่ที่ 1,084 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 11 จาก 975 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2563
ส่วนโครงการ Venture Builder ที่เปิดตัวในช่วงไตรมาส 1 ของปีนี้ ได้ลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยีด้านสุขภาพ (HealthTech) ที่จะช่วยยกระดับ และเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการด้านสุขภาพด้วยเทคโนโลยี 5G และเครือข่ายของอินทัช
รวมทั้งยังเพิ่มความสามารถในการเข้าถึงหรือกระจายการรักษาพยาบาลไปยังพื้นที่ต่างๆ ได้ในวงกว้าง ปัจจุบันได้คัดเลือก 3 ทีม ที่ตรงกับเป้าหมายการลงทุนของอินทัชซึ่งอยู่ในช่วงการพัฒนาสินค้าและบริการ โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2564
ปัจจุบัน อินเว้นท์มุ่งเน้นการลงทุนทั้งใน และต่างประเทศในกลุ่ม HealthTech EdTech และ FinTech ที่สามารถนำมา synergy กับกลุ่มบริษัท เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันให้กับกลุ่มอินทัชให้เข้าถึงโอกาสในการลงทุนธุรกิจใหม่ๆ เช่น เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ 5G เทคโนโลยีคลาวด์ เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ หรือเทคโนโลยีอัจฉริยะ (Smart Solutions) เป็นต้น
อินทัช ยังคงมุ่งมั่นบริหารสินทรัพย์และลงทุนในธุรกิจใหม่ในกลุ่มอุตสาหกรรมโทรคมนาคม สื่อ เทคโนโลยี และดิจิทัลเพื่อสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นอย่างยั่งยืน รวมทั้งตั้งเป้าการเติบโตของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 320,000 ล้านบาท ภายในปี 2568