นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC เปิดเผยว่า โครงการอควอทีค พัทยา(Aquatique) เป็นโครงการมิกซ์ยูสที่พลิกโฉมพื้นที่พัทยากลาง ใช้งบลงทุนกว่า 10,000 ล้านบาท พัฒนาบนพื้นที่ที่เคยเป็นโรงแรมแกรนด์ โซเล่ พัทยาเดิม ภายในโครงการจะมีโรงแรมทั้งหมด 5 แบรนด์ โดย 2 ใน 5 แบรนด์นี้เป็นการร่วมมือกับเชนของ IHG Hotels & Resorts ส่วนองค์ประกอบอื่นๆ จะมีทั้งโซนความสนุกและความบันเทิง เน้นไลฟ์สไตล์ริมชายหาด โซนค้าปลีก เวลเนส ที่อยู่อาศัย และกีฬา
โดยล่าสุดAWC ได้ควง IHG เปิดโรงแรมหรูแบรนด์ใหม่ “Vignette”(วีนแยทท์)ในพื้นที่อควอทีค พัทยา ซึ่งเป็นแบรนด์ใหม่ล่าสุดภายใต้คอลเล็คชั่นLuxury & Lifestyle ของIHG ที่มีแผนเปิดตัวในประเทศไทยและออสเตรเลียเป็นที่แรกโรงแรมวีนแยทท์ จะเป็นส่วนแรกของโครงการอควอทีค พัทยา ที่เปิดบริการก่อน โดยเป็นโรงแรมไลฟ์สไตล์ระดับลักชัวรี คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างปี 2565 แล้วเสร็จปี 2567 ใช้งบลงทุนเฉพาะส่วนนี้ 1,900 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างออกแบบพัฒนา จะมีจำนวนห้องพัก 234 ห้อง ร้านอาหารต่างๆ รูฟท็อปบาร์ สระว่ายน้ำ สปา และห้องประชุมพื้นที่กว่า 670 ตารางเมตร
แม้จะเกิดโควิด-19 แต่การลงทุนของAWC เรามองสถานการณ์ในระยะยาวมากกว่า โดยเชื่อว่าประเทศไทยยังคงมีคุณค่าการท่องเที่ยว การลงทุนใหม่ ที่พัทยาจะมีกำหนดเปิดให้บริการในช่วงปี 2567 เป็นต้นไป ซึ่งเป็นจังหวะที่การท่องเที่ยวน่าจะกลับมาแล้วอย่างเต็มที่ รวมถึงพัทยายังเป็นทำเลที่ดีเพราะเป็นชายหาดที่ใกล้กรุงเทพฯ มากที่สุด
ด้าน “เซเรน่า ลิม” รองประธานฝ่ายพัฒนาธุรกิจ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเกาหลี กล่าวว่าโรงแรมวีนแยทท์ พัทยาถือเป็นหนึ่งใน 2 แห่งแรกของโลกที่ IHG ได้เซ็นสัญญาแล้ว อีกแห่งหนึ่ง คือ Hotel X บริสเบน ออสเตรเลีย และมีอีกหลายแห่งที่อยู่ระหว่างเจรจา ตั้งเป้าว่าวีนแยทท์จะได้เซ็นสัญญาครบ 100 แห่งภายใน 10 ปีข้างหน้า
Vignette Collection เป็นแบรนด์ใหม่ภายใต้เครือ IHG คอนเซ็ปต์คือ “ช่วงเวลารื่นรมย์บันดาลใจ” โดยเป็นโรงแรมที่เน้นความเป็นเอกลักษณ์ในแต่ละทำเล เหมาะกับโรงแรมขนาดเล็กที่ต้องการเก็บกลิ่นอายความเป็นตัวของตัวเองในพื้นที่ แต่จะมีทิศทางการบริหารแบบเดียวกันคือเน้นด้านความยั่งยืน รับผิดชอบต่อสังคม ชุมชน
“เราพบว่าทั่วโลกมีโรงแรมขนาดเล็กถึง 1.5 ล้านห้อง ซึ่งสร้างมูลค่าการตลาด 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐต่อปี แบรนด์ใหม่อย่างวีนแยทท์จะช่วยคงเอกลักษณ์เฉพาะของโรงแรมเล็กไว้ได้ แต่เครือ IHG จะช่วยเสริมศักยภาพด้านการตลาดและเครือข่ายฐานลูกค้าให้” เซเรน่ากล่าวถึงที่มาการเปิดแบรนด์ใหม่ท่ามกลางสถานการณ์การระบาดที่ทำให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวเผชิญความท้าทาย
นายราจิต สุขุมารัน กรรมการบริหาร ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเกาหลี IHG ระบุว่าขณะนี้ตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังเผชิญความท้าทาย เพราะส่วนใหญ่ยังปิดพรมแดนและการฟื้นตัวขึ้นอยู่กับนโยบายวัคซีน แต่บริษัทมองตลาดที่เริ่มเปิดการท่องเที่ยวแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา จีน บางโรงแรมกลับมาทำรายได้ได้มากกว่าปี 2561-2562 ดังนั้น ช่วงนี้โรงแรมในภูมิภาคนี้ต้องปรับตัวเพื่อฝ่าวิกฤตไปให้ได้ก่อน
จากประวัติศาสตร์แสดงให้เราเห็นว่าเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวจะกลับมาได้อย่างแข็งแรง ไม่ว่าจะเป็นหลังเผชิญวิกฤต 9/11 โรคซาร์ส หรือวิกฤตเศรษฐกิจแฮมเบอร์เกอร์ โดยช่วงครึ่งปีแรกปีนี้ IHG เซ็นสัญญาโรงแรมใหม่ไปกว่า 200 แห่งทั่วโลก สะท้อนว่าเจ้าของโรงแรมบางส่วนยังมั่นใจในศักยภาพระยะยาวของธุรกิจ
ปัจจุบันพอร์ตโฟลิโอ Luxury & Lifestyle ของ IHG มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของโลก ประกอบไปด้วยโรงแรมกว่า 400 แห่งและห้องพักกว่า 100,000 ห้องทั่วโลก ซึ่งเป็นการต่อยอดความสำเร็จและมนต์เสน่ห์ของแบรนด์ InterContinental รวมไปถึงการเติบโตอย่างรวดเร็วไปทั่วโลกของ Kimpton และ Hotel Indigo และการเข้าซื้อกิจการของ Six Senses และ Regent
โดยเราคาดว่าจะสามารถเปิดโรงแรมภายใต้แบรนด์ เดอะ วีนแยทท์ คอลเล็คชั่น 100 แห่งภายใน 10 ปี และแบรนด์นี้จะเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันเราให้เป็นผู้นำตลาดด้านการเติบโตห้องพักสุทธิ
อนึ่งวีนแยทท์ คอลเล็คชั่น (Vignette Collection) ของIHG เป็นแบรนด์ใหม่ในฝั่งคอลเล็คชั่น Luxury & Lifestyle ที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งประกอบไปด้วยโรงแรมในเครืออย่าง Six Senses, Regent, InterContinental, Kimpton และ Hotel Indigo ที่พร้อมให้บริการแก่นักท่องเที่ยวและการเดินทางเพื่อธุรกิจ โดยการเปิดตัวแบรนด์ใหม่ในครั้งนี้ นับเป็นการขยายพอร์ตโฟลิโอของ IHG เป็นทั้งหมด 17 แบรนด์ ซึ่งครอบคลุมกว่า 6,000 โรงแรมในกว่า 100 ประเทศทั่วโลก