‘บีไอเอส กรุ๊ป’ จ่อเข้า MAI บุกตลาดเวชภัณฑ์-อาหารสัตว์ 3.3 หมื่นล้าน

06 ก.ย. 2564 | 04:41 น.
อัปเดตล่าสุด :06 ก.ย. 2564 | 11:40 น.

บีไอเอส กรุ๊ป เดินหน้าจดทะเบียน MAI หวังระดมทุนต่อยอด ขยายกิจการ พร้อมเปิดตัวชุดตรวจโควิด-19 “Angentex COVID-19 apcr Detection KIT With IC” สำหรับโรงพยาบาล วางขายไตรมาส 4

น.สพ.ธนวัฒน์ คงเจริญสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไบโอซายน์ แอลนิมัล เฮลธ์ จำกัด (มหาชน) หรือ BIS GROUP  ผู้ผลิต นำเข้าและจำหน่ายผลิตภัณฑ์สำหรับปศุสัตว์และสัตว์เลี้ยง ภายใต้แบรนด์ Optimix, EASYmix, Nutrase และ Nutrimix and Annamix เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า บริษัทมีแผนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ MAI ในปี 2565 โดยขณะนี้อยู่ระหว่างเตรียมศึกษาข้อมูลต่างๆ

 

โดยการเข้าจดทะเบียนฯ ในครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อระดมทุนมาใช้สร้างการเติบโตในระยะยาว ทั้งการลงทุนด้านการบริหารจัดการ  ตรวจสอบ การวิจัยและพัฒนา รวมถึงการขยายธุรกิจเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าขนาดกลางและใหญ่

‘บีไอเอส กรุ๊ป’ จ่อเข้า MAI บุกตลาดเวชภัณฑ์-อาหารสัตว์ 3.3 หมื่นล้าน

ทั้งการขยายโรงงานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร สารผสมล่วงหน้า และ การลงทุนในโครงการในอนาคตเพื่อสร้างการเติบโตอย่างมั่นคง โดยบริษัทตั้งเป้าหมายก้าวสู่การเป็นผู้นำด้าน Bio Circular Green และเวชภัณฑ์สำหรับ ปศุสัตว์ และสัตว์เลี้ยงแบบครบวงจรในภูมิภาคอาเซียน

 

ทั้งนี้บีไอเอส กรุ๊ป ถือเป็น 1 ใน 5 ผู้ค้ารายใหญ่ของไทยในด้านเวชภัณฑ์สัตว์อาหารเสริมและตลาดวัตถุดิบโดยมีผลิตภัณฑ์หลากหลายประเภทจากผู้จัดจำหน่ายทั่วโลกครอบคลุมทั้งตลาดปศุสัตว์ สัตว์น้ำ และสัตว์เลี้ยง ทั้งการจำหน่ายผลิตภัณฑ์และการให้บริการหลังการขาย

 

โดยมีสินค้าแบ่งออกเป็น 5 กลุ่มได้แก่  1. ผลิตภัณฑ์รักษาและป้องกันโรคสำหรับสัตว์ เช่น วัคซีน ฯลฯ 2. ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและวิตามินสำหรับสัตว์ 3. ผลิตภัณฑ์วัตถุดิบอาหารสัตว์ 4. ผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์สำเร็จรูป และ 5. ผลิตภัณฑ์เพื่อวินิจฉัยโรคสำหรับสัตว์

 

“BIS มีฐานลูกค้าขนาดใหญ่และกลาง ทั้งที่เป็นกลุ่มบริษัทในกลุ่มอาหารระดับนานาชาติ อาทิ กลุ่มเจริญโภคภัณฑ์ฟู๊ด, เบทาโกร, ไทย ฟู๊ดกรุ๊ป  และผู้นำในธุรกิจปศุสัตว์ของไทยจำนวนมาก  ซึ่งบริษัทเชื่อมั่นว่าจะสามารถต่อยอดธุรกิจ ด้วยการเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อเพิ่มรายได้และผลการดำเนินงาน

 

โดยบริษัทมีแผนลงทุนต่อเนื่องเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าทั้งในปัจจุบันและอนาคต โดยที่ผ่านมาบริษัทใช้เงินลงทุนกว่า 50 ล้านบาทในการก่อสร้างโรงงานผลิตอาหารเสริมและแร่ธาตุสำหรับสัตว์ บนพื้นที่กว่า 4 ไร่ ในจ.สมุทรสาครเริ่มผลิตสินค้าได้ตั้งแต่มกราคม 2564 เพื่อรองรับตลาดทั้งในและต่างประเทศด้วย”

‘บีไอเอส กรุ๊ป’ จ่อเข้า MAI บุกตลาดเวชภัณฑ์-อาหารสัตว์ 3.3 หมื่นล้าน

น.สพ.ธนวัฒน์ กล่าวว่า จุดแข็งของบีไอเอส กรุ๊ป คือ ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์จากทีมงานสัตวแพทย์ที่อยู่ในวงการมานานกว่า 17 ปี มีการวางแผนเตรียมความพร้อมต่อเนื่อง ทั้งด้านการวิจัย การพัฒนา การผลิต  การทำตลาด การขาย และบริหารหลังการขาย โดยในด้านการผลิตและการขาย บริษัทได้รับการรับรองตามมาตรฐาน ISO , GMP , GMP+, HACCP  ฯ

 

การจับมือกับพันธมิตรในการทำตลาด การนำเทคโนโลยีใหม่จากต่างประเทศมาพัฒนาระบบการเลี้ยงให้กับลูกค้า  การนำเสนอสินค้าที่หลากหลาย ครอบคลุมในทุกเซ็กเมนท์ โดยมีสินค้าจำหน่ายกว่า 150 รายการจากบริษัทชั้นนำกว่า 50 รายทั่วโลก

 

ล่าสุดบริษัทยังได้พัฒนาชุดตรวจโควิด-19 “Angentex COVID-19 apcr Detection KIT With IC  และผ่านการขึ้นทะเบียนกับอย. แล้ว โดยมีแผนจะเปิดตัวพร้อมจำหน่ายให้กับโรงพยาบาล สถานพยาบาลต่างๆ ในไตรมาส 4 นี้ โดยเบื้องต้นจะมีกำลังการผลิต 5 หมื่นชุดต่อเดือนหรือ 6 แสนชุดต่อปี

‘บีไอเอส กรุ๊ป’ จ่อเข้า MAI บุกตลาดเวชภัณฑ์-อาหารสัตว์ 3.3 หมื่นล้าน

สำหรับผลประกอบการของบริษัทในปีที่ผ่านมามีรายได้รวมกว่า 1,760 ล้านบาทมีการเติบโตต่อเนื่อง ขณะที่ในปีนี้ยังอยู่ระหว่างการประเมินหลังจากที่เกิดการแพร่ระบาดอย่างรุนแรงของโควิด-19 ระลอกใหม่ อย่างไรก็ดีตลาดเวชภัณฑ์สำหรับสัตว์ พบว่ามีมูลค่ากว่า 3.3 หมื่นล้านบาท มีการเติบโต 4.5%

 

แบ่งออกเป็น หมวดสารเสริมอาหารสัตว์ 1.1 หมื่นล้านบาท หมวดวัคซีน 7,000 ล้านบาท หมวดวิตามินและแร่ธาตุในสัตว์ 3,500 ล้านบาท  ส่วนที่เหลือเป็นหมวดอื่นๆ อาทิ ยาปฏิชีวนะ ยาฆ่าพยาธิ ยาฆ่าเชื้อ เป็นต้น

 

หน้า 14-15 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 41 ฉบับที่ 3,711 วันที่ 5 - 8 กันยายน พ.ศ. 2564