คลายล็อกดาวน์ ดัน “ดัชนีค้าปลีก” เดือน ก.ย. โต 2 เท่า

01 ต.ค. 2564 | 03:16 น.
อัปเดตล่าสุด :01 ต.ค. 2564 | 10:23 น.

สมาคมผู้ค้าปลีกไทย เผยดัชนีค้าปลีกเดือนกันยายนส่งสัญญาณดีโต 2 เท่า หลังรัฐคลายล็อกดาวน์ วอนรัฐอัดฉีด “ช้อปดีมีคืน” ดันเม็ดเงินสะพัด บูสต์เศรษฐกิจ

นายฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ รองประธาน สมาคมผู้ค้าปลีกไทย เปิดเผยว่า ผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นค้าปลีกในเดือนกันยายน ส่งสัญญาณที่ดีโตขึ้น 2 เท่า เมื่อเทียบกับเดือนสิงหาคมในปีเดียวกัน เป็นผลจากมาตรการการผ่อนปรนให้เปิดกิจการและธุรกิจเพิ่มเติมในห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า และคอมมูนิตี้มอลล์

 

ส่งผลให้ความถี่ในการจับจ่าย Frequency of Shopping เพิ่มมากขึ้น แต่ยอดการใช้จ่ายต่อครั้ง Spending per Basket เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย สะท้อนให้เห็นถึงกำลังซื้อที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ และต้องการการกระตุ้นจากภาครัฐเพื่อพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยทั้งระบบ”

 

โดยมีข้อสรุปของดัชนีความเชื่อมั่นในประเด็นที่สำคัญ ดังต่อไปนี้

 

1. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีก Retail Sentiment Index (RSI) เดือนกันยายน 2564 ปรับตัวดีขึ้นกว่า 2 เท่าอย่างชัดเจน จากที่ระดับ 25.0 ในเดือนสิงหาคม มาอยู่ที่ระดับ 59.0 ในเดือนกันยายน หลังการประกาศผ่อนคลายมาตรการฯ ของรัฐ ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีก RSI ในอีก 3 เดือนข้างหน้า ก็ปรับตัวดีจากระดับที่ 47.8 เดือนสิงหาคม

คลายล็อกดาวน์ ดัน “ดัชนีค้าปลีก” เดือน ก.ย. โต 2 เท่า

มาอยู่ที่ระดับ 63.8 ในเดือนกันยายน ซึ่งเพิ่มขึ้นเพียง 25% ในขณะที่ความเชื่อมั่นสภาวะปัจจุบันเพิ่มขึ้นกว่า 200% สะท้อนให้เห็นว่าผู้ประกอบการยังมีความวิตกกังวลอยู่มากของมาตรการการผ่อนคลาย และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ยังไม่มีความชัดเจน

 

2. ดัชนีความเชื่อมั่น RSI แยกตามภูมิภาค ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการต่อยอดขายเดิมเดือนกันยายนดีขึ้นอย่างชัดเจนในทุกภูมิภาค และอยู่เหนือระดับค่าเฉลี่ยกลางที่ 50 ยกเว้น ภาคเหนือ และภาคใต้ ซึ่งยังต่ำกว่าระดับค่าเฉลี่ยกลางที่ 50 ต่อเนื่องมานับจากเดือนพฤษภาคม เนื่องจากเป็นภูมิภาคที่ถูกผลกระทบจากการท่องเที่ยว   ที่หดหาย และการเลื่อนการบินภายในประเทศ

 

3. ดัชนีความเชื่อมั่น RSI แยกตามประเภทร้านค้าปลีก มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นทุกประเภทธุรกิจอย่างชัดเจน โดยเฉพาะร้านค้าวัสดุก่อสร้าง ตกแต่ง ซ่อมบำรุง (Hard Line) แต่ในขณะที่ร้านค้าปลีกประเภทร้านสะดวกซื้อที่ดัชนีความเชื่อมั่นยังอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลางที่ระดับ 50 เป็นผลจากมาตรการเคอร์ฟิว ส่งผลกระทบยอดขาย ในรอบดึกซึ่งมีสัดส่วนราว 35% ของยอดขายต่อวันหายไป รวมถึงมาตรการ WFH และการปิดสถานศึกษา ส่งผลให้ปริมาณลูกค้าลดน้อยลง

คลายล็อกดาวน์ ดัน “ดัชนีค้าปลีก” เดือน ก.ย. โต 2 เท่า

ทั้งนี้ ยังมีบทสรุปประเด็นสำคัญของ “การประเมินผลกระทบต่อยอดขายและกำลังซื้อและแนวโน้มกิจกรรมทางเศรษฐกิจ จากมุมมองผู้ประกอบการ” ในเดือนกันยายน ดังนี้

 

1. 68% ผู้ประกอบการคาดว่าการบริโภคภาคเอกชนในไตรมาส 3 น่าจะหดตัวถึง 30% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

 

2. 57% ผู้ประกอบการระบุว่ายอดขายในไตรมาส 3 น่าจะลดลงมากกว่า 50% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว

 

3. 73% ของผู้ประกอบการคาดว่า สถานการณ์จะกลับมาใช้ชีวิตปกติได้ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2565 ซึ่งเป็นผลจากการกระจายวัคซีนให้กับประชาชนได้ตามเกณฑ์

 

4. 26% จะเปิดเป็นบางส่วนหรือปิดชั่วคราว แม้ว่าภาครัฐจะผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์ก็ตาม

 

5. ปัจจัยที่ส่งผลต่อธุรกิจของในสถานการณ์ปัจจุบัน

 

- 83%   มาตรการเคอร์ฟิวมีผลต่อยอดขายมาก

 

- 58%   กำลังซื้อผู้บริโภคหดหาย ไม่ฟื้นตัวเร็ว

 

- 42%   ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มขึ้น

 

- 33%   มีบุคคลากรที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนอีกมาก

 

-  33%   ค่าใช้จ่ายตามประกาศ Covid Free Setting บานปลาย

 

6. 90% ไม่มีความมั่นใจในนโยบายที่ภาครัฐประกาศจะเปิดประเทศ 120 วัน

 

4 ข้อเสนอต่อภาครัฐ

 

1. ภาครัฐต้องเร่งฟื้นโครงการ “ช้อปดีมีคืน” อย่างเร่งด่วน เพื่อสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบ กระตุ้นมู้ดการจับจ่ายในช่วงไฮซีซั่นให้กลับมาคึกคัก

 

2. ภาครัฐใช้มาตรการทางภาษีเพื่อช่วยผู้ประกอบการในด้านค่าใช้จ่ายทางสาธารณสุข นอกเหนือจากการลดหย่อนภาษี 1.5 เท่าของค่าใช้จ่าย ATK

คลายล็อกดาวน์ ดัน “ดัชนีค้าปลีก” เดือน ก.ย. โต 2 เท่า

3. ภาครัฐต้องสร้างความชัดเจนในการนำมาตรการ Covid Free Setting และ Universal Prevention โดยกำหนดให้ผู้ประกอบการสามารถปฎิบัติได้ง่ายและมีขั้นตอนที่ชัดเจน

 

4. ภาครัฐเร่งการกระจายการฉีดวัคซีนให้รวดเร็วและเข้าถึงประชาชนมากกว่า 70% ของประชากรทั้งหมดของประเทศ

 

“จะเห็นได้ว่ามาตรการผ่อนปรนฯ เป็นกุญแจสำคัญที่เรียกความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจกลับคืนมา และยังเป็นการสร้างเม็ดเงินเข้าสู่ระบบค้าปลีกและบริการได้อย่างทันท่วงที อย่างไรก็ตาม รัฐบาลควรเร่งการกระจายการฉีดวัคซีนให้ได้ 70% ของประชากรทั้งประเทศตามที่ได้ตั้งเป้าไว้

 

เพื่อจะได้เปิดประเทศอย่างปลอดภัยและเร็วที่สุด อีกปัจจัยที่สำคัญ  ที่จะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 4 ซึ่งเป็นโค้งสุดท้ายของปีนี้ ผมขอเสนอให้นำมาตรการ “ช้อปดีมีคืน” กลับมาใช้อย่างเร่งด่วน เพราะจะเป็นการอัดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ” นายฉัตรชัย กล่าว