เป็นที่น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับตลาดสินค้าเพื่อสุขภาพและความงาม ที่แม้ว่าจะเผชิญหน้ากับวิกฤติเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของโควิดเช่นเดียวกับอุตสาหกรรมอื่นๆก็ตาม แต่ดูเหมือนว่าตลาดยังคงไปได้สวย
โดยอุตสาหกรรมความงามทั่วโลกทำยอดขายรวมกันได้มากถึง 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี หรือประมาณ 15.5 ล้านล้านบาทต่อปี ขณะที่ ปี 2564 นี้ ประมาณการว่า มูลค่าอุตสาหกรรมความงามทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นจาก 4.8 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 15 ล้านล้านบาท ในปี 2563 ไปเป็น 5.1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 15.9 ล้านล้านบาท
และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นไปอีก อยู่ที่ 7.2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 22.3 ล้านล้านบาทในปี 2568 และขยับขึ้นเป็น 7.9 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 24.4 ล้านล้านบาท ในปี 2570
ปัจจุบัน ส่วนแบ่งตลาดของอุตสาหกรรมความงามกว่า 46% อยู่ที่ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก รองลงมา คือ 24% ภูมิภาคอเมริกาเหนือ, 18% ภูมิภาคยุโปรตะวันตก, 8% ภูมิภาคละตินอเมริกา, 6% ภูมิภาคยุโรปตะวันออก และ 3% ภูมิภาคแอฟริกา
สท้อนให้เห็นศักยภาพของตลาดสุขภาพและความงามที่แม้แต่โควิดก็ยังทำอะไรไม่ได้
สำหรับในประเทศไทยนอกจากการขยายสาขา เพิ่มพร์อตสินค้า ขยายช่องทางจำหน่ายในช่องทางของตัวเองแล้ว ล่าสุด “วัตสัน” ผู้นำร้านเพื่อสุขภาพและความงามอันดับหนึ่งของประเทศไทย ได้ตัดสินใจนำสินค้าตราวัตสัน ที่เป็น Best Seller จาก 5 แบรนด์ยอดนิยมกว่า 200 รายการ วางจำหน่ายนอกร้านวัตสันเป็นครั้งแรก โดยจะวางจำหน่ายผ่าน“ท็อปส์” ผู้นำค้าปลีกซูเปอร์มาร์เก็ตในเครือเซ็นทรัล รีเทล 30 สาขา ที่ท็อปส์ มาร์เก็ต, ท็อปส์ เดลี่ และเซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ พร้อมช้อปผ่านท็อปส์ ออนไลน์
นายสเตฟาน คูม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล กล่าวถึงความร่วมมือในครั้งนี้ว่า การขยายช่องทางจำหน่ายไปยัง ท็อปส์ ครั้งนี้เป็นไปตามแผนเสริมความแกร่งและพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของตลาดเพื่อสุขภาพและความงามระหว่าง “ท็อปส์” ผู้นำค้าปลีกซูเปอร์มาร์เก็ต และ “วัตสัน” ผู้นำร้านเพื่อสุขภาพและความงามอันดับหนึ่งของประเทศไทย เพื่อรองรับเทรนด์ Health & Beauty ที่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้จะอยู่ในช่วงของการแพร่ระบาดโควิด-19 ก็ไม่ได้กระทบในเรื่องของการดูแลสุขภาพ ความสวยงามของคนไทย
เพราะในบิวตี้คอมมูนิตี้ยังคงมีการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น แนะนำผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคล (Personal care) กันอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ด้านการดูแลสุขอนามัย ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวพรรณหรือสกินแคร์ ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม รวมถึงผลิตภัณฑ์กลุ่มทำความสะอาดร่างกาย ซึ่งผู้บริโภคมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้สอดรับกับสถานการณ์โควิด ทำให้ผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกก็ต้องมีการปรับตัวให้เท่าทันกับผู้บริโภคเช่นกัน
การผนึกกำลังของทั้ง 2 บริษัท โดยใช้จุดแข็งของ “ท็อปส์” ที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจค้าปลีกซูเปอร์มาร์เก็ต มีฐานลูกค้าจำนวนมาก มีความสามารถด้านการจัดจำหน่ายแบบ Omni Channel ครบครันทั้งแพลตฟอร์มออฟไลน์ที่มีสาขาอยู่ทั่วประเทศ และช่องทางออนไลน์ที่หลากหลาย
ในขณะที่ “วัตสัน” มีความเข้มแข็งด้านสินค้าตราวัตสัน ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพและความงามครอบคลุมทุกความต้องการ ซึ่งผู้บริโภคให้การยอมรับและเป็นที่นิยมมาอย่างยาวนาน การร่วมมือกับวัตสันในครั้งนี้จึงถือเป็นการขยายฐานลูกค้า เติมเต็มความต้องการให้กับลูกค้าของท็อปส์และวัตสัน เพิ่มทางเลือกในการเลือกซื้อสินค้าสุขภาพและความงามให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ด้าน นายพสิษฐ์ มั่นคงขันติวงศ์ Managing Director วัตสัน ประเทศไทย กล่าวเสริมว่า “วัตสัน” และ “ท็อปส์” มีลูกค้ากลุ่มเป้าหมายที่ใกล้เคียงกัน ให้ความสำคัญในการดูแลตัวเองทั้งเรื่องสุขภาพและความงาม มองหาผลิตภัณฑ์ที่ดีมีคุณภาพ การร่วมมือกับท็อปส์ในครั้งนี้ จะทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงสินค้าตราวัตสันที่มีคุณภาพและความคุ้มค่าได้สะดวกมากขึ้น ทุกที่ ทุกเวลา และนับเป็นครั้งแรกที่เราจำหน่ายสินค้าตราวัตสันที่ร้านค้าปลีกอื่น โดยเลือกสินค้า Best Seller กว่า 200 รายการ จาก 5 แบรนด์ที่ได้รับการยอมรับและเป็นที่นิยม ได้แก่ แบรนด์ Watsons, Arome by Watsons, Bella by Watsons, Naturals by Watsons และ Garden of Love โดยมุ่งเน้นสินค้าในกลุ่ม Body care มากที่สุด รองลงมาคือ Hair care , Oral care, Baby care & Accessories และเราเชื่อมั่นว่าการร่วมมือกันในครั้งนี้ จะช่วยอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงสินค้าของ วัตสันได้ง่ายขึ้น และรู้จักสินค้าของเราเพิ่มมากขึ้น”