นายแพทย์น๊อต เตชะวัฒนวรรณา ผู้ช่วยผู้อำนวยการ โรงพยาบาลพระรามเก้า กล่าวว่า ในสถานการณ์ของโรคโควิด 19 วัคซีนไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่องค์การสาธารณสุขทั่วโลกใช้เพื่อหยุดยั้งการแพร่ระบาด เพราะภายหลังที่ไวรัสโควิดสายพันธุ์เดลต้า (Delta) ได้ทำให้โรคทวีความรุนแรงขึ้น ได้มีการคิดค้นนวัตกรรมการรักษาโควิดทุกสายพันธุ์ รู้จักกันในชื่อ แอนติบอดี ค็อกเทล (Antibody Cocktail) ที่ใช้ในหลายประเทศ ตั้งแต่สหรัฐอเมริกา อินเดีย ญี่ปุ่น อังกฤษ รวมถึงประเทศไทย ที่ได้รับการอนุมัติให้ใช้แบบมีเงื่อนไขภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉิน เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2564 ที่ผ่านมา
ยาแอนติบอดี ค็อกเทล (Antibody Cocktail) หรือแอนติบอดีแบบผสม เป็นยาที่เกิดจากการผลิตผสมรวมกันของแอนติบอดี 2 ชนิดคือ คาซิริวิแมบ (Casirivimab) และ อิมเดวิแมบ (Imdevimab) จนเกิดโปรตีนที่เรียกว่า โมโนโคลนอลแอนติบอดี (Monoclonal Antibody) จัดอยู่ในกลุ่มยาภูมิคุ้มกันลบล้างฤทธิ์ Neutralizing Monoclonal Antibodies (NmAbs) มีหลักการทำงานคือจะตรงเข้าจับกับโปรตีนตรงส่วนหนาม (Spike Protein) ทำให้ไวรัสที่เข้าสู่ร่างกายลดปริมาณลง ส่งผลต่อการยับยั้งการติดเชื้อโควิด-19 ได้ทุกสายพันธุ์ รวมถึงเชื้อกลายพันธุ์ อย่างสายพันธุ์เดลต้าและสายพันธุ์เอปซิลอน ได้ทันที
“แอนติบอดี ค็อกเทล เป็นนวัตกรรมที่คิดค้นขึ้นเพื่อรักษาอาการโควิด 19 โดยเฉพาะ แตกต่างจากตัวยาอย่างฟาวิพิราเวียร์ หรือกับสมุนไพรฟ้าทะลายโจร ที่เป็นเพียงยารักษาตามอาการ แต่ไม่ได้เจาะจงต่อเชื้อโควิด-19 เฉพาะ นอกเหนือไปจากนี้แล้ว แอนติบอดี ค็อกเทล ยังมีประสิทธิภาพลดความรุนแรงและป้องกันให้คนไข้ต้องเข้าโรงพยาบาล เพราะอาการหนักหรือเสียชีวิตได้มากถึง 70% ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงมาก และสูงกว่ายารักษาโควิดอีกชนิดอย่างโมลนูพิราเวียร์ (Molnupiravir) ที่มีตัวเลขการป้องกันอยู่ที่ประมาณ 50% เท่านั้น
“โรงพยาบาลพระรามเก้า มีการนำตัวยาแอนติบอดี ค็อกเทล มาใช้เพื่อรักษาผู้ป่วยติดเชื้อโควิดแล้วประมาณ 1 เดือน กับคนไข้มากกว่า 20 ราย ตามข้อบ่งใช้สำหรับคนไข้ติดเชื้อในระยะเริ่มต้น ไม่เกิน 10 วันหลังได้รับเชื้อ และไม่มีอาการรุนแรง หรือเป็นผู้มีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการรุนแรงขึ้นได้เมื่อติดเชื้อ โดยเฉพาะผู้สูงอายุและผู้ป่วย 7 โรคกลุ่มเสี่ยง ซึ่งจากการประเมินก่อนการรักษา คนไข้ที่เราดูแลควรจะมี 10-20% ที่อาจต้องรักษาด้วยการให้ออกซิเจน หรือจำเป็นต้องให้ยาชนิดอื่น เช่น สเตอรอยด์ แต่ภายหลังที่คนไข้ทั้ง 20 เคสได้รับยาแอนติบอดี ค็อกเทล เข้าไปแล้ว ยังไม่มีเคสไหนที่เกิดอาการรุนแรง จนถึงขั้นต้องให้ออกซิเจนหรือต้องเข้าห้องไอซียูเลยแม้แต่รายเดียว”
แอนติบอดี ค็อกเทล เป็นยาสำหรับฉีดให้ทางหลอดเลือดดำ โดยการฉีดเข้าทางชั้นใต้ผิวหนัง (SC) และให้เพียงครั้งเดียวโดยบุคลากรทางการแพทย์ มีข้อบ่งใช้สำหรับผู้ป่วยที่วินิจฉัยว่าติดเชื้อโควิด-19 ในระยะเริ่มต้น (ไม่เกิน 10 วัน) และมีอาการของโรคตั้งแต่เล็กน้อยถึงปานกลาง หรือเป็นผู้ป่วยที่มีปัจจัยเสี่ยงจะทำให้เกิดอาการรุนแรงขึ้นได้เมื่อติดเชื้อ ได้แก่ ผู้สูงอายุ, ผู้มีภาวะน้ำหนักเกิน (BMI มากกว่า 30), ผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือด หรือมีภาวะความดันโลหิตสูง, ผู้ป่วยโรคปอดเรื้อรัง, โรคหอบหืด, โรคเบาหวาน, โรคไตเรื้อรัง, โรคตับเรื้อรัง รวมถึงผู้มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือภูมิคุ้มกันถูกกด
ข้อบ่งใช้ที่สำคัญที่สุดของยาแอนติบอดี ค็อกเทล คือจะต้องให้ยากับผู้ป่วยตั้งแต่ในระยะที่เชื้อยังไม่รุนแรง หรือพูดได้ว่ายิ่งผู้ป่วยได้รับยาเร็วเท่าไร ยิ่งมีโอกาสหายมากขึ้นเท่านั้น โรงพยาบาลพระรามเก้าจึงมีการวางแผนการรักษา รวมถึงให้ความสำคัญกับการดูแลผู้ป่วยอย่างดีที่สุดในทุกขั้นตอน ตั้งแต่กระบวนการรับผู้ป่วย แนวทางการรักษา การรับยาแอนติบอดี ค็อกเทล พร้อมวางแผนให้บริการ Virtual Hospital การดูแลผ่านทาง Video Call สอบถามและติดตามอาการคนไข้ทุกวัน รวมถึงให้บริการฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายหลังหายจากการติดเชื้อ ซึ่งเป็นอีกแนวทางที่โรงพยาบาลให้ความสำคัญเพื่อให้ผู้ป่วยฟื้นฟูสุขภาพได้ดีในระยะยาว
“ทั้งนี้ทั้งนั้น หลังหายจากอาการโควิด-19 ผู้ป่วยส่วนหนึ่งมักจะเจอกับภาวะที่เรียกว่า ลองโควิด (Long Covid) ซึ่งเป็นผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมที่มาจากช่วงเคยติดเชื้อ ส่งผลให้เกิดอาการทางร่างกาย เช่น อ่อนเพลียเหนื่อยง่าย หายใจลำบาก ปวดศีรษะ ไอ เจ็บหน้าอก กล้ามเนื้ออ่อนแรง สมองล้า นอนไม่หลับ รวมถึงผลกระทบทางจิตใจ วิตกกังวล ซึมเศร้า หรือมีอาการ PTSD (Post-Traumatic Stress Disorder) หรือสภาวะป่วยทางจิตใจหลังเผชิญเหตุการณ์รุนแรง โรงพยาบาลพระรามเก้าจึงได้เดินหน้าจัดตั้งPost Covid Care Clinic เพื่อดูแลรักษาและอำนวยความสะดวกกับผู้ป่วยที่อยู่ภายใต้การดูแลด้วย”
Post Covid Care Clinic โรงพยาบาลพระรามเก้า จะรวมทีมแพทย์และบุคลากรเฉพาะทางในการดูแลด้านการฟื้นฟูปอดและระบบทางเดินหายใจ หัวใจ ไต สมอง ระบบประสาท และจิตใจ รวมไปถึงกายภาพบำบัดและโภชนาการ เพื่อเพิ่มสมรรถภาพทั้งร่างกายและจิตใจ หลังหายป่วยจากอาการโควิด อย่างถูกต้อง