JKN ลุยแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่มีสารสกัดจากกัญชง สร้างตราสินค้าให้มีความเข้มแข็งและขยายเครือข่ายช่องทางการขายใหม่ๆ เพิ่มเติม รวมถึงการรับจ้างผลิตสินค้าหรือ OEM มากขึ้น ส่ง ‘ณัฐพงษ์ วิทย์วรพงศ์’ คุมทัพโกยยอดขายเติบโตเท่าตัว พร้อมปูทางขึ้นแท่นอันดับ 1 ในธุรกิจ Commerce
จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ JKN เปิดเผยว่า บริษัทฯ เดินหน้ายุทธศาสตร์การขับเคลื่อนองค์กรไปสู่ Content Commerce Company ที่มุ่งต่อยอดนำความเชี่ยวชาญการดำเนินธุรกิจคอนเทนต์เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่กลุ่มธุรกิจคอมเมิร์ซในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์
โดยสินค้าเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีศักยภาพการเติบโตสูง ที่เป็นหัวหอกช่วยขับเคลื่อนรายได้จากกลุ่มธุรกิจคอมเมิร์ซให้เติบโตได้อย่างโดดเด่น ผ่านแผนการทำตลาดภายใต้แนวคิด ‘ซูเปอร์สตาร์มาร์เก็ตติ้ง’ และสร้างการรับรู้ถึงคุณสมบัติของตัวผลิตภัณฑ์ผ่านช่องทาง JKN18 และ JKN Hi Shopping และจำหน่ายตรงไปยังผู้บริโภค หรือ D2C รวมถึงการมีเครือข่ายพันธมิตรช่องทางการจำหน่ายในการวางสินค้าผ่านห้างค้าปลีกขนาดใหญ่และร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven เพื่อกระจายสินค้าเข้าสู่ถึงผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทฯ จึงได้แต่งตั้ง ‘ณัฐพงษ์ วิทย์วรพงศ์’ ผู้บริหาร เจเคเอ็น เอ็มเอ็นบี เข้ามารับผิดชอบการดำเนินธุรกิจกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพของ JKN ประกอบด้วย แบรนด์ ไทเกอร์ เอ็กซ์ หลินจือผสมเบอร์รี่ และดราก้อน เอ็กซ์ ถั่งเช่าน้ำผสมวิตามิน แบรนด์ ‘ฟิตแม็กซ์’ เครื่องดื่มสมุนไพรให้พลังงาน
และเครื่องดื่มสมุนไพรสกัดจากธรรมชาติ 0 แคลอรี่ แบรนด์ ‘เฮิร์บแม็กซ์’ เหล่านี้ ถือเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีแนวโน้มเติบโตก้าวกระโดด พร้อมวางแผนเสริมความแข็งแกร่งของพอร์ตโฟลิโอกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มที่สรรสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ และสร้างความแตกต่างเหนือคู่แข่ง เช่น เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกัญชง กัญชา รวมถึงสุมนไพรไทย เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งปัจจุบันอยู่ในกระบวนการรออนุมัติจากหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง
“กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพจะเป็นหนึ่งในธุรกิจหัวหอกให้แก่กลุ่มคอมเมิร์ซที่จะสร้างการเติบโตให้แก่กลุ่ม JKN แบบก้าวกระโดด ซึ่งถือเป็น S-Curve ที่เราต้องการวางรากฐานการดำเนินงานให้มีความแข็งแกร่ง จึงได้แต่งตั้งให้นายณัฐพงษ์ วิทย์วรพงศ์ เข้ามาดูแลการวางแผนพัฒนา ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ รวมถึงแผนพัฒนาสินค้าใหม่ที่ใช้สารสกัดจากกัญชง และใช้ความสามารถด้านการผลิตของโรงงานเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในกลุ่ม OEM ซึ่งจะช่วยผลักดันการเติบโตของกลุ่มธุรกิจคอมเมิร์ซของ JKN ให้มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น พร้อมทะยานสู่เป้าหมายใน 3 ปีที่ต้องการทำสัดส่วนรายได้เพิ่มเป็น 50% ของรายได้รวมที่ตั้งเป้าไว้ 5,000 ล้านบาท”
คุณณัฐพงษ์ วิทย์วรพงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจเคเอ็น เอ็มเอ็น บี จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยในกลุ่ม JKN กล่าวว่า ภาพรวมการดำเนินงานในปีนี้คาดว่าจะเติบโตได้ 30-40% เมื่อเทียบกับปีก่อน หลังจากที่ JKN ได้เข้ามาถือหุ้นเพื่อร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์และทำตลาดเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ โดยใช้ความเชี่ยวชาญด้านการทำตลาดของ JKN เพื่อสร้างแบรนด์สินค้าและการรับรู้ให้แก่ผู้บริโภคผ่านกลยุทธ์ ‘ซูเปอร์สตาร์มาร์เก็ตติ้ง’ พร้อมช่องทางการจำหน่ายที่แข็งแกร่งผ่านช่อง JKN18, JKN Hi Shopping และช่องทาง Online รวมถึงการขยายช่องทางการจำหน่ายผ่านเครือข่ายร้านค้าทั้งกลุ่มห้างค้าปลีกขนาดใหญ่อย่าง Lotus’s, Big C, Tops และช่องทางร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ที่มีมากกว่า 14,000 สาขาครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ เป็นผลให้ยอดขายกลุ่มเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพมีอัตราการขยายได้อย่างก้าวกระโดด
ขณะเดียวกัน บริษัทพร้อมนำความสามารถด้านการผลิตจากมาตรฐานการผลิตที่ดี โดยมีกำลังการผลิตเฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 9 ล้านขวดต่อเดือน พร้อมลงทุนติดตั้งเครื่องจักรสำหรับบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพขนาด 50 มิลลิลิตร ที่มีกำลังการผลิตเฉลี่ย 100,000 ขวดต่อวัน รองรับแผนธุรกิจพัฒนาสินค้าเครื่องดื่มและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีสารสกัดจากกัญชง จำนวน 5-6 รายการ ในรูปแบบ Shot Drink นอกจากนี้ ยังมุ่งตอบสนองความต้องการของลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องดื่มขนาดใหญ่ในการออเดอร์รับจ้างผลิตสินค้าภายใต้แบรนด์ลูกค้า หรือ OEM เพิ่มเติม ส่งผลให้อัตราการใช้เครื่องจักรผลิตสินค้าโดยเฉลี่ยปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 70-80% ในปี 2565
“ในปี 2565 จะเป็นปีแห่งการเติบโตที่ก้าวกระโดดทั้งในกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มภายใต้ Own Brand จากแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่มีสารสกัดจากกัญชง การสร้างตราสินค้าให้มีความเข้มแข็งและการขยายเครือข่ายช่องทางการขายใหม่ๆ เพิ่มเติม รวมถึงการรับจ้างผลิตสินค้าหรือ OEM มากขึ้น ซึ่งจะทำให้เราสามารถผลักดันการเติบโตได้มากกว่าเท่าตัว โดยคาดว่าสัดส่วนรายได้จากสินค้าเครื่องดื่มภายใต้ Own Brand และ OEM จะทำสัดส่วนที่ 50% เท่ากัน จากปัจจุบันที่ Own Brand มีสัดส่วน 30% ของรายได้”