MAKRO โชว์กำไรสุทธิ ไตรมาสแรกปี 2565 รวม 2,050 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,734 ล้านบาท ขานรับการฟื้นตัวของธุรกิจ และผลพวงการรวมกิจการกลุ่มธุรกิจค้าปลีก ดันยอดขายโตถึง 93.7% หรือกว่า 1 แสนล้านบาท พร้อมเดินหน้ารุกตลาด O2O (Online to Offline) ต่อยอดธุรกิจออนไลน์ อี-คอมเมิร์ซ เสริมศักยภาพสู่เป้าหมายผู้นำธุรกิจค้าส่งค้าปลีกในภูมิภาคเอเชีย ท่ามกลางความท้าทายที่เกิดขึ้นในธุรกิจค้าส่งค้าปลีก
นางเสาวลักษณ์ ถิฐาพันธ์ ประธานคณะผู้บริหารกลุ่มธุรกิจ สายงานบัญชีและการเงินบริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) หรือ MAKRO เผยว่า ในไตรมาสแรกของปี 2565 บริษัทฯ มีการเติบโตในระดับที่ดี จากสถานการณ์การฟื้นตัวของภาคธุรกิจ ภาคการท่องเที่ยวของกลุ่มธุรกิจโรงแรมและร้านอาหาร โดยมีกำไรสุทธิ 2,050 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,734 ล้านบาท และมียอดขายเติบโต 106,268 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 51,400 ล้านบาท หรือ 93.7% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
ผลการดำเนินงานที่ดีในไตรมาสแรกนี้ เป็นผลมาจากการรวมกิจการกลุ่มธุรกิจค้าปลีก ตั้งแต่วันที่ 25 ตุลาคม 2564 ประกอบกับการเติบโตของรายได้จากการขายของกลุ่มธุรกิจค้าส่ง ซึ่งเป็นการเติบโตอย่างต่อเนื่องของธุรกิจแม็คโครประเทศไทย ทั้งการขยายสาขาใหม่ การเปิดแพลตฟอร์มตลาดค้าส่งออนไลน์ maknet สร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับธุรกิจเอสเอ็มอี และผู้ประกอบการรายย่อย
นอกจากนี้ธุรกิจ แม็คโครต่างประเทศ ยังมีการเติบโตจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นในกัมพูชา อินเดีย และเมียนมา รวมถึงธุรกิจฟูดเซอร์วิสที่ได้รับอานิสงส์จากกลุ่มโรงแรมร้านอาหาร ที่ฟื้นตัวจากวิกฤติโรคโควิด-19 และภาคการท่องเที่ยว รวมถึงรายได้จากค่าเช่าและการให้บริการศูนย์การค้าของกลุ่มธุรกิจค้าปลีก
นางเสาวลักษณ์ กล่าวอีกว่า นับจากนี้บริษัทฯ มีแผนงานในการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยี สร้างโอกาสการเติบโตในตลาด O2O เพื่อขยายธุรกิจออนไลน์และออฟไลน์อย่างต่อเนื่อง ทั้งในกลุ่มค้าส่ง (แม็คโคร) และค้าปลีก (Lotus’s) โดยตั้งเป้าหมายสู่การเป็นผู้นำธุรกิจค้าส่งค้าปลีกในภูมิภาคเอเชีย
อย่างไรก็ดี นับจากนี้ธุรกิจค้าส่งค้าปลีก ยังคงต้องเผชิญความท้าทายท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนอย่างต่อเนื่อง จากปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็น สถานการณ์ราคาน้ำมันในประเทศและทั่วโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลต่อต้นทุนราคาสินค้าและการดำเนินงาน แรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อ ค่าครองชีพสูงที่อาจส่งผลต่อการชะลอตัวของกำลังซื้อ รวมถึงกระแสการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำที่จะส่งผลกับทุกธุรกิจ