รายงานจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ระบุว่า ตัวเลขเงินเฟ้อที่พุ่งอย่างขึ้นสูงในรอบหลายปี อาจกดดันให้มีการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย หากแบงก์ชาติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเร็วๆ นี้ จะเป็นแรงฉุดโมเมนตั้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย
และกดดันกำลังซื้อในภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ อาทิ ที่อยู่อาศัย, วัสดุก่อสร้าง รวมถึงกลุ่มเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน เพราะประชาชนมีค่าครองชีพที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลต่อการตัดสินใจชะลอซี้อสินค้าบางกลุ่มที่อาจจะไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนมาก ขณะที่ผู้ประกอบการต้องเร่งปรับตัวให้เหมาะสมกับภาวะที่เกิดขึ้น
ขณะที่ตลาดเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านซึ่งมีมูลค่ารวมกว่า 9 หมื่นล้านบาท มีการเติบโตต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา เพราะได้อานิสงส์จากการระบาดของโควิด-19 ที่ทำให้ผู้คนใช้ชีวิตอยู่กับบ้านมากขึ้น รวมไปถึงภาคการรวมไปถึงภาคการส่งออกที่พบว่าเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านของไทยเป็นที่ต้องการของชาวต่างชาติ ส่งผลให้การส่งออกมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2561 จนถึงปัจจุบัน
โดยพบว่า ในปี 2561 ไทยมีมูลค่าการส่งออก 37,886.08 ล้านบาท ปี 2562 มีมูลค่า 39,430.39 ล้านบาท ปี 2563 มีมูลค่า 44,504.06 ล้านบาท และปี 2564 (ม.ค.-ก.ค.) มีมูลค่าการส่งออก 29,448.51 ล้านบาท แต่ในปีนี้ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านกลับตกอยู่ในภาวะยากลำบากจากปัจจัยลบรอบด้าน
นาย “กิจจา ปัทมสัตยาสนธิ” กรรมการผู้จัดการ บมจ.ชิค รีพับบลิค (CHIC) ผู้จัดจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ สินค้าตกแต่งบ้าน ที่นอนและเครื่องนอน แบรนด์ ชิค รีพับบลิค, ริน่า เฮย์ และสินค้านำเข้าจากต่างประเทศแบรนด์ แอชลีย์ (Ashley) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า จากสถานการณ์ต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น บริษัทได้มีการควบคุมค่าใช้จ่ายการขายและบริการให้เหมาะสม ซึ่งเริ่มควบคุมมาตั้งแต่ช่วงที่โควิด-19 ระบาดหนักแล้ว เพื่อลดความเสี่ยงของธุรกิจ
ขณะเดียวกันก็ต้องเฝ้าระวังประเด็นเงินเฟ้อและดอกเบี้ยที่เป็นขาขึ้นอย่างใกล้ชิด และปรับกลยุทธ์ตามความเหมาะสมทั้งแง่ราคาขายและงานบริการ พร้อมเน้นงานที่มีมาร์จิ้นสูงมากขึ้น โดย CHIC เน้นออกแบบและจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ที่เน้นเรื่องดีไซน์ มีความแตกต่างจากเฟอร์นิเจอร์ในตลาด ทำให้สามารถกำหนดราคาได้เอง เพื่อควบคุมต้นทุน เพิ่มศักยภาพการทำกำไร ควบคู่ไปกับการบริหารจัดการต้นทุนสินทรัพย์อย่างคุ้มค่า อาทิ ที่ดินและอาคาร โดยเลือกตั้งสาขาบนทำเลที่เอื้อประโยชน์ต่อบริษัท และสร้างมูลค่าเพิ่มได้ในอนาคต
“ล่าสุดบริษัทได้ระดมทุนเพิ่ม เพื่อนำมาใช้ขยายสาขาทั้งในและต่างประเทศ พัฒนาเว็บไซต์ของบริษัทเพิ่มเติมขายเฟอร์นิเจอร์บนแพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซ ในกัมพูชา และปรับปรุงพื้นที่บางสาขาในประเทศและขยายพื้นที่ให้เช่า รวมถึงใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการและชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันทางการเงินลดต้นทุนดอกเบี้ย ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจจัดจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์และสินค้าตกแต่ง 52% ธุรกิจงานโครงการ 44% ธุรกิจออกแบบและตกแต่งภายใน 1% และธุรกิจให้บริการ 3%”
ขณะที่กลุ่มผู้ผลิตและจำหน่าย เฟอร์นิเจอร์ไม้ปาร์ติเคิลบอร์ด, ไม้ยางพารา ก็ได้รับผลกระทบจากต้นทุนที่สูงขึ้นเช่นกัน
โดยนายอารักษ์ สุขสวัสดิ์กรรมการผู้จัดการ บมจ.อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค (ECF) กล่าวว่า ต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น มาจากราคาพลังงานและวัตถุดิบต่างๆ บริษัทได้ดำเนินการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต เพื่อบริหารจัดการต้นทุนให้มีความรัดกุมรอบคอบยิ่งขึ้น พร้อมทั้งพยายามรักษาระดับยอดขายเฟอร์นิเจอร์ทั้งในและต่างประเทศ ด้วยการบริหารจัดการออเดอร์ที่ได้รับมาให้มีประสิทธิภาพเพื่อเพิ่มความสามารถการทำกำไร
“ปัจจุบันธุรกิจเฟอร์นิเจอร์มีคำสั่งซื้อเข้ามาจำนวนมากจากลูกค้าต่างประเทศ โดยเฉพาะอินเดีย ขณะเดียวกันกลุ่มลูกค้าซาอุดิอาระเบียก็ติดต่อเข้ามามากขึ้น ซึ่งบริษัทเริ่มส่งสินค้าไปตั้งแต่ต้นไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ส่วนในเอเชียก็มีคำสั่งซื้อเข้ามาต่อเนื่องเช่นกัน โดยบริษัทได้มีการเพิ่มช่องทางขายออนไลน์ ซึ่งกระแสตอบรับค่อนข้างดี ขณะที่เงินบาทกำลังอ่อนค่าต่อเนื่อง ถือเป็นปัจจัยบวกของ ECF เพราะจะทำให้รายได้ส่งออกเพิ่มสูงขึ้น เพราะบริษัทมีรายได้ต่างประเทศถึง 50%”
นอกจากนี้บริษัทได้แตกไลน์ธุรกิจเพื่อกระจายความเสี่ยง โดยเข้าไปลงทุนในธุรกิจพลังงานผ่านบริษัทย่อย ซึ่งบริษัทถือหุ้นสัดส่วน 20% ในโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 200 เมกะวัตต์ ณ เมืองมินบู ประเทศเมียนมา ปัจจุบันได้มีการเดินเครื่องจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์แล้วในเฟส 1 ขนาด 50 เมกะวัตต์ (MW) และคาดว่าเฟส 2 ขนาด 50 MW จะแล้วเสร็จและรับรู้รายได้เข้ามาภายในช่วงไตรมาส 4/65 ส่วนเฟสที่ 3 และ 4 จะทยอยดำเนินการก่อสร้างและแล้วเสร็จภายในปี 2566
ด้านนางปิยพร พรรณเชษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ทีซีเอ็ม คอร์ปอเรชั่น (TCMC) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสิ่งทอ พรม วัสดุปูพื้น วัสดุหุ้มบุในรถโดยสาร และเฟอร์นิเจอร์ ฯลฯ กล่าวแสดงความคิดเห็นว่า ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน และสถานการณ์ระหว่างประเทศที่ส่งผลกระทบในวงกว้างต่อราคาพลังงานโลก ทำให้ค่าขนส่ง และต้นทุนวัตถุดิบเพิ่มสูงขึ้น การขาดแคลนวัตถุดิบในอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมรถยนต์ การลงทุนในตลาดทุน การฟื้นตัวของการเดินทางท่องเที่ยวของผู้คนทั่วโลก และกำลังซื้อ ล้วนมีนัยสำคัญต่อภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจ
ทำให้ผู้ประกอบการต้องปรับตัวในหลายด้านโดยกลุ่มธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ หรือ TCM Living ได้มีการปรับเพิ่มราคาสินค้าและบริหารจัดการ เรื่องต้นทุนให้มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะปัจจัยท้าทายที่ไม่อาจควบคุมได้ อาทิ ปัญหาความล่าช้าในการขนส่งระหว่างประเทศ และการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์และแรงงาน ต้นทุนวัตถุดิบที่มีราคาสูงจากภาวะเงินเฟ้อทั่วโลก และภาวะความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างยูเครนและรัสเซียซึ่งอาจทำให้อัตรากำไรขั้นต้นยังไม่สามารถปรับตัวขึ้นอย่างชัดเจน
ขณะที่กลุ่มธุรกิจวัสดุปูพื้น หรือ TCM Flooring จากราคาวัตถุดิบและต้นทุนที่สูงขึ้น รวมถึงสถานการณ์ตลาดที่บางส่วนยังคงได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้คำสั่งซื้อยังเข้ามาไม่มากพอ และค่าใช้จ่ายในการขนส่งที่สูงขึ้น ส่วนกลุ่มธุรกิจพรมและผ้าหุ้มเบาะรถยนต์ หรือ TCM Automotive ที่ได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนชิพประมวลผลและชิ้นส่วนประกอบรถยนต์ บริษัทยังคงเดินหน้าปรับแผนการทำงานที่มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่องสอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงต่างๆ
หน้า 15 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 42 ฉบับที่ 3,801 วันที่ 17 - 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2565