ย้อนไปเมื่อปี 2557 ในวงการเครื่องดื่มไม่มีข่าวไหนจะมาแรงเท่าข่าวไทยเบฟฯเข้าซื้อเครื่องหมายการค้าเครื่องดื่มอัดลม “เอส” ให้กับ บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล เบฟเวอเรจ โฮลดิ้งส์ ลิมิเต็ด บริษัทย่อยของ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ด้วยมูลค่ากว่า 1.56 พันล้านบาท ซึ่งทำให้เสริมสุขกลายเป็นอีกหนึ่งบริษัทในเครือของไทยเบฟฯในทันที และชื่อของแบรนด์เครื่องดื่มอัดลมเอส ก็กลายมาเป็นเครื่องดื่มสัญชาติไทยที่มาแรงและน่าจับตามอง
หากจะกล่าวถึง “เสริมสุข” ถือเป็นหนึ่งในบริษัทผู้ผลิตเครื่องดื่มยักษ์ใหญ่ของไทย และเบอร์ต้นๆในแวดวงโลจิสติกส์ที่มีพันธมิตรร้านค้าในเครือทั่วประเทศกว่า 2 แสนร้านค้า ก่อนจะปรับทิศทางการดำเนินธุรกิจในการเป็นบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม และอาหารชั้นนำของประเทศไทย ขณะเดียวกันยังมีไลน์โปรดักส์สินค้าในเครือฯครอบคลุมกว่า 90% ในตลาดเครื่องดื่มนอนแอลกอฮอลล์ ทำให้ชื่อของเสริมสุขภายใต้การบริหารงานของไทยเบฟ เป็นที่น่าจับตามองมากยิ่งขึ้น และแน่นอนว่าตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา เสริมสุข ก็สามารถสร้างการเติบโตในตลาดได้เป็นอย่างดี
[caption id="attachment_54323" align="aligncenter" width="335"]
วิเวก ชาห์บรา (ซ้าย)
สมชาย บุลสุข (ขวา)[/caption]
เปิดวิชั่น 2020 ของไทยเบฟฯ
นายสมชาย บุลสุข ประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แนวทางการดำเนินงานของบริษัทนับจากนี้จะให้ความสำคัญกับการพัฒนาบริษัทให้แข็งแกร่งทั้งระบบ เพื่อให้เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนกลุ่มไทยเบฟ หรือวิชั่น 2020 ที่ต้องการให้ก้าวสู่การเป็นผู้นำบริษัทเครื่องดื่มครบวงจรอันดับ 1 ใน 5 หรือในปี 2563 สอดคล้องกับแนวนโยบายที่ “ฐาปน สิริวัฒนภักดี” กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ได้ปรับทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทคือการเป็นบริษัทผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มและอาหารชั้นนำของประเทศไทย คณะกรรมการบริษัทจึงได้มีมติแต่งตั้งให้นายวิเวก ชาห์บรา ให้ขึ้นมาเป็นผู้นำคนใหม่ของเสริมสุขเมื่อช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา เพื่อที่จะได้มาพัฒนาเสริมสุข และเสริมศักยภาพให้กับกลุ่มไทยเบฟต่อไป
“ปีนี้เป็นปีที่ต้องบอกว่าเราต้อง Make the Difference คือทำอย่างไรให้แตกต่างเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายที่บริษัทกำหนด ทั้งการทำให้ 2 หน่วยงานทั้งไทยดริ้งและเสริมสุข สามารถทำงานด้วยกันเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการทำงานร่วมกันได้ดีที่สุด ซึ่งไม่ใช่แค่วิชั่นของเสริมสุขเท่านั้น หากแต่ยังเป็นวิชั่นของบริษัทแม่อย่างไทยเบฟ”
ซินเนอร์นี่เครือข่ายใช้จุดแข็งสู่ตลาดตปท.
ส่วนทางด้านแม่ทัพคนใหม่ “นายวิเวก ชาห์บรา” ในฐานะกรรมการผู้จัดการ บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) ยังได้เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินงานของบริษัทในปีนี้ว่า สำหรับแผนการดำเนินงานและกลยุทธ์ต่างๆเพื่อให้เป็นไปตามวิชั่น 2020 ที่ประกอบด้วย 1.การขยายตลาด จะให้ความสำคัญกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพมากขึ้น ด้วยการเพิ่มและเปิดตัวกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เช่น นมถั่วเหลือง และน้ำผลไม้ ภายใต้แบรนด์ผลิตภัณฑ์ของบริษัท เฟรเซอร์ แอนด์ นีฟ หรือ เอฟแอนด์เอ็น คาดว่าจะเริ่มได้ในช่วง 2 ปีจากนี้ โดยตั้งเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนการขายของกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพให้มากขึ้น จากเดิมที่มีสัดส่วนการขายอยู่ที่ 56% ในปี 2558 จะเพิ่มขึ้นเป็น 70% ในปี 2564
นอกจากนี้ยังมีการขยายการลงทุนสายการผลิต 300-500 ล้านบาทเป็นประจำทุกปี โดยในช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายนนี้ จะเพิ่มกำลังการผลิตน้ำดื่มคริสตัล ที่โรงงานในจังหวัดขอนแก่น และในปี 2560 จะเพิ่มการผลิตน้ำดื่มที่โรงงานสุราษฎร์ธานี เพื่อรองรับกับความต้องการของตลาดที่เพิ่มสูงขึ้น จากปัจจุบันที่มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 100 ล้านลังต่อปี หรือคิดเป็น 600 ล้านลิตรต่อปี
ขณะที่กลยุทธ์ที่ 2 คือ การพัฒนาทีมขายและกระบวนการทำงาน ที่จะเน้นขยายโปรแกรมพรีเซลในพื้นที่กรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ในต่างจังหวัด เพื่อให้เข้าถึงพื้นที่ขายที่มีร้านค้าตั้งอยู่หนาแน่น พร้อมกันนี้จะให้ความสำคัญกับการบริหารสต็อกสินค้ารวมถึงการพัฒนาทีมขาย พร้อมกันนี้จะใช้ระบบอี-แบงกิ้งในการชำระเงินแทนการเก็บเงินสด เพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับลูกค้า ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาและพัฒนาระบบ ส่วนกลยุทธ์ที่ 3 คือ การบริหารต้นทุนให้มีประสิทธิภาพ ด้วยการใช้วัตถุดิบในการผลิตบรรจุภัณฑ์ เช่น ลดการใช้พลาสติกและลดต้นทุนบรรจุภัณฑ์ ลดค่าใช้จ่ายด้านการขนส่งสินค้า และการบริหารคลังสินค้าให้มีกำไร เป็นต้น
“การนำโปรแกรมพรีเซลเข้ามาใช้ในการจัดจำหน่าย เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพและความต้องการด้านงานขายที่เพิ่มขึ้น การที่เรามีทีมเข้าไปถือเป็นการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ทั้งรายเก่าและรายใหม่ อีกทั้งยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นได้มากยิ่งขึ้น”
นอกจากจะอาศัยความแข็งแกร่งจากโรงงานผลิตสินค้าทั้ง 7 แห่ง รวมถึงคลังสินค้าที่มีอยู่ 51 แห่งทั่วประเทศ และรถลำเลียงและหน่วยรถขายกว่า 1 พันคัน ที่มีเครือข่ายในการเข้าถึงทุกพื้นที่ ทำให้สามารถกระจายสินค้าได้ครอบคลุมทุกพื้นที่ พร้อมกันนี้ยังได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มบริษัทรวมถึงคณะผู้บริหารจากในเครือไทยเบฟ
“การที่จะขึ้นสู่ผู้นำได้นั้นจะต้องผลักดันให้เสริมสุขมีการเติบโตทางธุรกิจแบบยั่งยืน โดยอาศัย 7 กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลาย และยังครอบคลุมความต้องการของผู้บริโภคกว่า 90% จากทั้ง 4 แบรนด์หลัก ได้แก่ เอส น้ำดื่มคริสตัล โออิชิ และ100 พลัส”
ปัดฝุ่นแรงเยอร์ทวงคืนตลาดเอนเนอร์ยีดริงก์
จากการปรับกลยุทธ์หลายประการแล้ว ส่วนหนึ่งของแผนงานที่จะดำเนินการคือ การนำเครื่องดื่มในกลุ่มเอ็นเนอร์จีดริ้งก์ อย่าง “แรงเยอร์” เข้ามารุกตลาดอีกครั้ง หลังจากห่างหายทำตลาดไปนาน และพบว่าช่วง 2 ปีที่ผ่านมามียอดขายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งแรงเยอร์ยังถือเป็นแบรนด์ที่มีศักยภาพในการเติบโตประกอบกับบริษัทมีความพร้อมทั้งระบบขนส่ง และมีการส่งไปจัดจำหน่ายในประเทศมาเลเซียอีกด้วย พร้อมกันนี้ยังได้ส่งผลิตภัณฑ์เอสไปทำตลาดที่มณฑลยูนนาน ประเทศจีน ซึ่งพบว่าได้รับการตอบรับที่ดี อีกทั้งยังมีความต้องการของตลาดที่เพิ่มขึ้น
ผลประกอบการ Q1 โตตามเป้า
อย่างไรก็ตามสำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกของปี 2559 พบว่ามียอดขายเพิ่มขึ้น 15% ส่งผลให้มีส่วนแบ่งการตลาดที่แข็งแกร่ง โดยแบรนด์เอสยังคงครองส่วนแบ่งการตลาดที่ 10% รั้งอันดับ 3 ของตลาดน้ำอัดลม ขณะที่แบรนด์น้ำดื่มคริสตัล มีส่วนแบ่งการตลาด 17.3% และโออิชิ มีส่วนแบ่งการตลาด 43% ขณะที่กำไรก่อนหักค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อม อยู่ที่ 87 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วถึง 226% ทั้งนี้ส่วนของภาพรวมตลาดเครื่องดื่มปราศจากแอลกอฮอล์ มูลค่า 8 พันล้านลิตร แบ่งเป็นน้ำดื่ม 50% น้ำอัดลม 20% ส่วนที่เหลือ 10% เป็นอื่นๆ
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,158 วันที่ 19 - 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2559