นายอุตตม สาวนายน อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และแกนนำพรรคพลังประชารัฐ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก โดยมีเนื้อหาว่า
ช่วงต้นปีมักมีการรายงานข้อมูลเศรษฐกิจของปีที่ผ่านมา รวมถึงการจับชีพจรสถานการณ์ในปีปัจจุบัน มีตัวเลขที่น่าสนใจซึ่งผมเห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อการประเมินภาพเศรษฐกิจที่เป็นโจทย์สำคัญของคนไทยและรัฐบาลที่จะเข้ามาบริหารประเทศหลังการเลือกตั้งครับ
รายงานตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจปี 2565 ที่ผ่านมาในอาเซียน สะท้อนการเริ่มฟื้นตัวของประเทศต่างๆ อย่างไรก็ดี สังเกตว่าเศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำกว่าประเทศอื่นพอสมควรในทุกไตรมาส ซึ่งบ่งชี้ว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ผ่านมายังไม่เข้มแข็งเมื่อเทียบกับเพื่อนๆในอาเซียน ที่กล่าวได้ว่าส่วนใหญ่อยู่ในระนาบการพัฒนาใกล้เคียงกัน
และขณะที่การฟื้นตัวของเราในปีนี้ฝากความหวังไว้มากกับการขยายตัวของการส่งออก แต่ข้อมูลล่าสุดจากกระทรวงพาณิชย์ระบุว่า การส่งออกในเดือน ม.ค. ที่ผ่านมาหดตัวถึงร้อยละ 4.5 (เงินดอลลาร์สหรัฐ) เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันในปี 2565 ทั้งเป็นการลดลงในลักษณะเช่นนี้ 4 เดือนติดต่อกันเริ่มจากไตรมาส 3 ปลายปีที่แล้ว
แม้ยังมีเวลาอีกหลายเดือนที่การส่งออกจะพลิกตัว แต่ในภาวะที่ประเทศคู่ค้าของเราต่างกำลังเผชิญกับเศรษฐกิจโลกที่ยังเสี่ยงกับการถดถอย ข้อมูลเหล่านี้เป็นสัญญาณหนึ่งที่บ่งชี้ว่า เศรษฐกิจไทยมีความท้าทายสำคัญรออยู่ข้างหน้า ซึ่งการบริหารจัดการที่ตรงเป้าและมีประสิทธิภาพเป็นเรื่องจำเป็นและเร่งด่วน
เมื่อพิจารณาสถานการณ์ในประเทศ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับผู้ประกอบการรายเล็กรายกลางซึ่งเป็นกลุ่มที่มีจำนวนมากที่สุดในระบบเศรษฐกิจของประเทศ และได้รับผลกระทบรุนแรงจากภาวะเศรษฐกิจที่ผ่านมา
ข้อมูลการสำรวจ MSME ของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) สะท้อนว่า ผู้ประกอบการยังไม่มั่นใจว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวได้ชัดเจน โดยเกือบครึ่งหนึ่งประเมินว่าเศรษฐกิจปีนี้จะทรงตัวหรือแย่ลง
ขณะที่ร้อยละ 41.8 มองว่าดีขึ้นเล็กน้อยและร้อยละ 13.5 เท่านั้นที่มองว่าจะดีขึ้น มีสาเหตุหลักเนื่องจากผู้ประกอบการมีความกังวลเรื่องกำลังซื้อในประเทศและต้นทุนที่สูงขึ้น
การที่เราคาดหวังว่าในอนาคตเศรษฐกิจไทยจะกลับไปขยายตัวได้เต็มศักยภาพ เช่น ที่ร้อยละ 5-6 ต่อปี ดังที่มีผู้ประเมินไว้นั้น ถามว่ามีความเป็นไปได้ไหม โดยส่วนตัวก็เชื่อว่ามีความเป็นไปได้ แต่เราต้องทำอย่างมียุทธศาสตร์ที่เหมาะสมและอยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริง
สิ่งใดที่ควรแก้ไขปรับปรุงก็ต้องรีบดำเนินการ เรื่องใดที่ควรเริ่มทำอย่างจริงจังเพื่อความเข้มแข็งในอนาคตก็ต้องเร่งทำ ไม่ว่าจะเป็นการแก้ปัญหาเร่งด่วนให้ประชาชน และผู้ประกอบการ เช่น เรื่องหนี้สิน การจัดหาทุนใหม่ การส่งเสริมเพิ่มทักษะอาชีพ
รวมถึงการเพิ่มความสามารถของประเทศในเวทีโลก เช่น การอัพเกรดเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจเดิมและการพัฒนาเครื่องยนต์ใหม่ๆ การพัฒนาแรงงานทุกระดับ
วันนี้การที่ประเทศไทยจะกลับเข้าสู่เส้นทางสู่การพลิกฟื้นและการเติบโตของเศรษฐกิจที่เต็มศักยภาพนั้น การเลือกตั้งที่จะมาถึงจะมีส่วนอย่างมากที่จะกำหนดความสำเร็จ
หากเราได้รัฐบาลที่สามารถรวบรวมและผนึกสรรพกำลังจากทุกฝ่ายได้อย่างราบรื่นตั้งแต่ต้น ทั้งจากภาคประชาชนที่เป็นผู้ตัดสินใจเลือกผู้จะมาทำหน้าที่รัฐบาล ภาคเอกชนผู้ประกอบการ นักวิชาการ ฯลฯ ก็จะทำให้รัฐบาลนั้นๆ ทำงานอย่างมีพลังเป็นปึกแผ่น สามารถจัดการปัญหาเร่งด่วนที่คนไทยเผชิญอยู่ และนำพาประเทศก้าวหน้าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืนให้สำเร็จไม่น้อยหน้าใคร