นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า จากการที่ กรมฯ ได้ติดตามสถานการณ์การค้าสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูปไปตลาดต่างประเทศปี 2566 โดยจีนเป็นตลาดส่งออกสินค้าเกษตรใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของไทย โดยครองสัดส่วนประมาณ 42% ของการส่งออกสินค้าเกษตรของไทย โดยสินค้าน้ำตาลแปรรูป (ไม่รวมถึงน้ำตาลทรายดิบ) เช่น น้ำเชื่อม น้ำผึ้งเทียม คาราเมล เครื่องดื่ม และ ยา ถือเป็นสินค้าไทยที่โดดเด่นและมีความต้องการสูงมากในตลาดจีน
ในปี 2566 จีนนำเข้าน้ำตาลแปรรูป มูลค่า 982.52 ล้านดอลลาร์ (31,358.58 ล้านบาท) โดยไทยครองตลาดนำเข้าอันดับ 1 มูลค่า 853.65 ล้านดอลลาร์ (29,807.32 ล้านบาท) คิดเป็นสัดส่วน 86.88% ของปริมาณที่จีนนำเข้าจากโลก ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 103.14% และจากสถิติการนำเข้าน้ำตาลแปรรูป ย้อนหลัง 10 ปี พบว่าจีนนำเข้าจากไทยมีอัตราเติบโตสูงเฉลี่ยปีละ 144.84%
ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้น้ำตาลแปรรูป ซึ่งเป็นสินค้าที่มีศักยภาพในการส่งออกของไทยสามารถครองอันดับ 1 ในตลาดจีนได้ คือการได้รับสิทธิประโยชน์ทางการค้าภายใต้ FTA อาเซียน-จีน (ASEAN – China Free Trade Agreement: ACFTA) เนื่องจากในตลาดจีนสำหรับสินค้าน้ำตาลแปรรูป หากไม่ใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ ACFTA จะต้องเสียภาษีศุลกากรนำเข้าปกติ (MFN Rate) ในอัตรา 30% แต่จะได้รับการยกเว้นภาษีเป็น 0% ซึ่งสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันให้แก่สินค้าน้ำตาลแปรรูปไทย
โดยในปี 2566 สินค้าน้ำตาลแปรรูปจากกรมการค้าต่างประเทศ เพื่อนำไปใช้สิทธิพิเศษในขอยกเว้นภาษีนำเข้าที่จีนมูลค่า 833.37 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 29,099 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนการใช้สิทธิ 97.62%
“การนำสินค้าเกษตร เช่น น้ำตาลดิบมาแปรรูป จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าดังกล่าวของไทยและส่งผลดีต่อเกษตรกรชาวไร่อ้อย เนื่องจากทำให้สินค้ามีความหลากหลายและมีตลาดที่กว้างขึ้น ซึ่งเป็นนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยนำสินค้าเกษตรมาแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า โดยน้ำตาลแปรรูปถือเป็นหนึ่งในสินค้าที่ผู้ส่งออกไทยมีศักยภาพสูงในการแข่งขัน
สำหรับสินค้าน้ำตาลแปรรูป นอกจากตลาดจีนแล้ว อาเซียนถือเป็นตลาดที่น่าสนใจและมีศักยภาพสูง เนื่องจากมีประชากรกว่า 6 ร้อยล้านคน ซึ่งแนวโน้มน้ำตาลแปรรูปของไทยเป็นที่ต้องการของตลาดโดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ที่สำคัญสินค้าน้ำตาลแปรรูปของไทยได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีภายใต้ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) โดยได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้าเป็น 0% จากอัตราภาษีปกติ (MFN Rate) อยู่ระหว่าง 3-15 % ตลาดที่มีศักยภาพสูงในอาเซียน เช่น ฟิลิปปินส์ เมียนมา และอินโดนีเซีย เป็นต้น” นายรณรงค์ฯ กล่าว