สนค. แนะ 8 ข้อ ดันไทยเป็นแนวหน้าด้าน EV เขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

13 มี.ค. 2567 | 04:11 น.
อัพเดตล่าสุด :13 มี.ค. 2567 | 04:22 น.

สนค. ศึกษาสถานการณ์รถยนต์ไฟฟ้า EV โอกาสและความท้าทายของอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า แนะ 8 ข้อ พัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน ดันไทยเป็นแนวหน้าอุตสาหกรรมฯของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า เปิดเผยว่า ปัจจุบันทั่วโลกตื่นตัวกับการใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น ส่งผลให้อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยสถานการณ์การค้ารถยนต์ไฟฟ้า ในปี 2566 พบว่าการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้า Plug-in (BEVและ PHEV) ของทั้งโลก มูลค่ารวม 175.60 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 29.40% โดยประเทศที่มีมูลค่าการนำเข้าสูงสุด 3 อันดับแรกของโลก ได้แก่

  1. สหรัฐอเมริกา 25.62 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
  2. เยอรมนี 22.95 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
  3. เบลเยียม 18.12 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

ทั้งนี้ การส่งออกรถยนต์ไฟฟ้า Plug-in ของทั้งโลก มีมูลค่ารวม 201.49 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 43.83% โดยประเทศที่มีมูลค่าการส่งออกสูงสุด 3 อันดับแรกของโลก ได้แก่

  • เยอรมนี 54.50 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
  • จีน 38.46 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
  • เบลเยียม 19.37 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

สำหรับประเทศไทย อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าได้เติบโตต่อเนื่องในทิศทางเดียวกับโลกเช่นกันโดยไทยนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้า Plug-in จากตลาดโลก ในปี 2566 มูลค่ารวม 3,048.33 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 345.28% ซึ่งประเทศที่ไทยมีมูลค่าการนำเข้าสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่

  • จีน 2,549.02 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
  • เยอรมนี 172.16 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
  • มาเลเซีย 119.06 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

 สอดคล้องกับยอดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ (BEV, PHEV, HEV) ที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด จากจำนวน 71,450 คัน ในปี 2565 ( 20.52% ของยอดจำหน่ายรถยนต์นั่งทั้งหมด) เป็น 168,425 คัน ในปี 2566 ( 41.39% ของยอดจำหน่ายรถยนต์นั่งทั้งหมด) โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) ที่มียอดจำหน่ายเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (สัดส่วนเพิ่มขึ้นจาก 3% เป็น 18.08%) ทั้งนี้ การส่งออกรถยนต์ไฟฟ้า Plug-in ของไทยไปตลาดโลก มีมูลค่ารวม 11.23 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 326.78% โดยไทยส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าไปยัง สิงคโปร์มากที่สุด มูลค่า3.48 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเติบโตสูงถึงร้อยละ 3,177.94 เมื่อเทียบจากปีก่อน รองลงมา ได้แก่ สปป.ลาว 2.29 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และญี่ปุ่น 1.63 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

นายพูนพงษ์ กล่าวว่า หลายประเทศในโลกได้ออกมาตรการเพื่อสนับสนุนและผลักดันการเติบโตของอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า ทั้งในมิติการดึงดูดการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ การส่งเสริมผู้ประกอบการ และการกระตุ้นผู้บริโภคให้เกิดความต้องการใช้รถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น

เช่นเดียวกับประเทศไทยที่ภาครัฐได้ออกแนวทางการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ภายใต้นโยบาย 30@30 อาทิ มาตรการเงินอุดหนุนผู้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้า มาตรการส่งเสริมการนำเข้าและการผลิตในประเทศ โดยได้กำหนดเงื่อนไขการลงทุนให้มีการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในไทยเพื่อชดเชยการนำเข้า รวมถึงส่งเสริมการขยายโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการเติบโตของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต

จากการที่ไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์สันดาปภายในที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก และเป็นตลาดที่มีอัตราการเติบโตของผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าสูง จึงอาจทำให้ไทยยังคงได้รับความสนใจจากนักลงทุน ประกอบกับมีพื้นที่ยุทธศาสตร์ซึ่งมีความพร้อมทั้งทางด้านคมนาคม แรงงาน และสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ อย่างโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่จะช่วยพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันและทำให้ไทยมีโอกาสขึ้นเป็นแนวหน้าในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ทางสนค. จึงมีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการสนับสนุนและส่งเสริมความแข็งแกร่งทางด้านการค้าของไทย เพื่อเป็นข้อมูลในการเตรียมพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลง และส่งเสริมการเติบโตของอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าไทย รวมถึงสินค้าอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง ดังนี้

  1. เร่งส่งเสริมการส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อรักษามูลค่าการส่งออกที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมยานยนต์ ผลักดันการส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าไปยังกลุ่มประเทศอาเซียน สหรัฐอเมริกา และจีน
  2. สร้างความร่วมมือทางด้านการค้าและการลงทุนกับประเทศผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าชั้นนำในตลาดปัจจุบัน อาทิ จีน ยุโรป และสหรัฐอเมริกา
  3. ประสานความร่วมมือกับประเทศที่มีวัตถุดิบสำคัญสำหรับการผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าเพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ หรือถ่ายโอนเทคโนโลยี
  4. ปรับปรุงและพัฒนากฎหมาย รวมทั้งกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้า-ส่งออก เพื่อให้ไทยสามารถหาประโยชน์จากข้อได้เปรียบเชิงภูมิศาสตร์ในกิจกรรมการค้าที่จะมีมากขึ้นในอนาคต
  5. ติดตามสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าอย่างใกล้ชิดโดยอาจประสานความร่วมมือกับภาคเอกชน โดยเฉพาะสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เนื่องจากเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการเป็นผู้ผลิตและส่งออก ทั้งรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์
  6. สนับสนุนการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในด้านการต่างประเทศ เพื่อจัดทำความร่วมมือกับประเทศที่มีศักยภาพในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ไฟฟ้า อาทิ อินโดนีเซีย ที่ตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางการผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า เพื่อผลักดันให้เกิดความร่วมมือและความเชื่อมโยงในห่วงโซ่อุปทานรถยนต์ไฟฟ้าในระดับภูมิภาค
  7. ศึกษาตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศที่มีศักยภาพเพิ่มเติม อาทิ อินเดีย เนื่องจากเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่มีแนวโน้มเติบโตสูง
  8. ผลักดันผู้ประกอบการให้เร่งศึกษา ทำความเข้าใจ และใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าภายใต้ข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) ในกรอบต่าง ๆ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันในตลาดโลก