“แพทองธาร ชินวัตร” หรือ "อุ๊งอิ๊ง" ทายาทตระกูลชินวัตร ก้าวขึ้นมาเป็นที่จับตามองในวงการธุรกิจและการเมืองไทย ด้วยการลงทุนในบริษัทต่างๆรวม 20 บริษัทมูลค่ารวมกว่า 8,345 ล้านบาท และล่าสุดได้รับการโหวจากสภาผู้แทนราษฎรให้เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 31 ของไทย
โดยในการประชุมสภา ฯ นายสรวงศ์ เทียนทอง สส.สระแก้ว พรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นเสนอชื่อ “อุ๊งอิ๊ง" นางสาวแพทองธาร ชินวัตร” เป็นผู้สมควรให้สภาฯโหวตเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 โดยมีสส.รับรองรายชื่อของนางสาวแพทองธารเกิน 50 เสียง ล่าสุดได้รับเสียงสนับสนุนเกิน 319 เสียง เกินกึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ส่งผลให้ นางสาวแพทองธาร เป็นนายกฯรัฐมนตรีคนที่ 31 ของไทย
“ฐานเศรษฐกิจ” ตรวจสอบข้อมูลการถือหุ้นของ “แพทองธาร ชินวัตร” ผ่าน Creden Data ผู้ให้บริการวิเคราะห์ข้อมูลบริษัทครบวงจร พบว่า “แพทองธาร” ถือหุ้นใน 20 บริษัท มูลค่ารวมกว่า 8,345 ล้านบาท โดยมีการกระจายการลงทุนในหลากหลายอุตสาหกรรม แต่เน้นหนักไปที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ดังนี้
การถือหุ้น:
อย่างไรก็ตามการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งทางการเมืองสูงสุด อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของแพทองธาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นเรื่องการถือหุ้นในบริษัทต่างๆ
มาตรา 187 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ได้บัญญัติไว้ว่า รัฐมนตรีต้องไม่เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัท หรือไม่คงไว้ซึ่งความเป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทต่อไปตามจำนวนที่กฎหมายบัญญัติ และต้องไม่เป็นลูกจ้างของบุคคลใด
แจ้งประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ภายใน 30 วันนับจากวันที่ได้รับแต่งตั้งโอนหุ้นในบริษัทต่างๆ ให้แก่นิติบุคคลซึ่งจัดการทรัพย์สินเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น (Blind Trust)
ไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการหุ้นหรือกิจการของบริษัทที่เคยถือหุ้นไม่ว่าในทางใดๆ
นอกจากนี้ ข้อกำหนดเรื่องการถือหุ้นนี้ยังครอบคลุมไปถึงคู่สมรสและบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะของรัฐมนตรี รวมถึงการถือหุ้นที่อยู่ในความครอบครองหรือดูแลของบุคคลอื่นไม่ว่าโดยทางใดๆ ด้วย
จากการตรวจสอบ ข้อมูลแบบรายงานการเปลี่ยนแปลงการถือหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้าของผู้บริหาร (แบบ 59) ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ล่าสุด ณ วันที่ 14 สิงหาคม 2567 ไม่พบว่า น.ส. แพทองธาร มีการขาย หรือ โอนหุ้นที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ 2 บริษัทคือ SC และ PR9 แต่อย่างใด