กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เปิดเผยรายงาน World Economic Outlook ฉบับเดือนตุลาคม 2024 คาดการณ์เศรษฐกิจโลกปี 2024-2025 จะเติบโต 3.2% เท่ากัน โดยสหรัฐฯ ยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของการเติบโตในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ขณะที่อินเดียครองแชมป์เศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่เติบโตสูงสุด
IMF ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตของสหรัฐฯ เป็นประเทศเดียวในกลุ่มเศรษฐกิจพัฒนาแล้วที่ได้รับการปรับเพิ่มทั้งปี 2024 และ 2025 โดยปรับขึ้น 0.2% เป็น 2.8% ในปี 2024 และปรับขึ้น 0.3% เป็น 2.2% ในปี 2025 สะท้อนการบริโภคภาคเอกชนที่แข็งแกร่งกว่าคาด ขับเคลื่อนด้วยค่าจ้างและราคาสินทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น
นายปิแอร์-โอลิวิเยร์ กูรินชาส หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ IMF ระบุว่า สหรัฐฯ ประสบความสำเร็จในการ "ลงจอดแบบนุ่มนวล" โดยสามารถควบคุมเงินเฟ้อได้โดยไม่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อตลาดแรงงาน และมองว่าความเสี่ยงที่สหรัฐฯ จะเผชิญภาวะถดถอยลดลง หากไม่มีปัจจัยช็อกรุนแรง
ในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ อินเดียยังคงโดดเด่นที่สุด โดย IMF คาดว่าจะเติบโต 7.0% ในปี 2024 และ 6.5% ในปี 2025 ซึ่งสูงสุดในบรรดาเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ด้านบราซิลได้รับการปรับเพิ่มคาดการณ์อย่างมีนัยสำคัญ 0.9% เป็น 3.0% จากการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนที่แข็งแกร่ง
ขณะที่จีน เศรษฐกิจใหญ่อันดับ 2 ของโลก ถูกปรับลดคาดการณ์ปี 2024 ลง 0.2% เหลือ 4.8% แม้การส่งออกสุทธิจะเพิ่มขึ้น แต่ยังมีปัจจัยกดดันจากภาคอสังหาริมทรัพย์ที่อ่อนแอและความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ต่ำ สำหรับปี 2025 IMF คงคาดการณ์ที่ 4.5% ซึ่งต่ำกว่าแนวโน้มปกติ
เศรษฐกิจยุโรปยังคงซบเซา โดยเยอรมนีถูกปรับลดคาดการณ์ลง 0.2% เหลือ 0% ในปีนี้ เนื่องจากภาคการผลิตยังคงประสบปัญหา ส่งผลให้คาดการณ์การเติบโตโดยรวมของยูโรโซนลดลงเหลือ 0.8% ในปี 2024 และ 1.2% ในปี 2025 แม้สเปนจะได้รับการปรับเพิ่มเป็น 2.9% ก็ตาม
ขณะที่เศรษฐกิจไทยตามการคาดการณ์ของ IMF ได้ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปหลังจากการหดตัวรุนแรงในปี 2563 และมีแนวโน้มเติบโตดีขึ้นในปี 2024-2025 ที่ 2.8% และ 3.0% ตามลำดับ แต่ในระยะยาวปี 2029 IMF คาดว่าจะเติบโตที่ 2.7%
IMF คาดการณ์เศรษฐกิจเวียดนามจะเติบโต 6.0% ในปี 2024 และ 6.8% ในปี 2025 ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตสูงสุดในกลุ่มประเทศอาเซียนหลัก ตามด้วยฟิลิปปินส์ที่จะเติบโต 5.8% และ 6.1% ในปี 2024 และ 2025 ตามลำดับ โดยทั้งสองประเทศมีแนวโน้มรักษาการเติบโตในระดับสูงได้ต่อเนื่องถึงปี 2029 ที่ 6.0-6.3%
ด้านอินโดนีเซีย เศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในอาเซียน มีแนวโน้มเติบโตอย่างมั่นคงที่ 5.0% ในปี 2024 และ 5.1% ในปี 2025 โดย IMF คาดว่าจะรักษาระดับการเติบโตที่ 5.1% ได้จนถึงปี 2029 สะท้อนความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจในระยะยาว
ส่วนมาเลเซียมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในปี 2024 โดย IMF คาดการณ์การเติบโตที่ 4.8% เพิ่มขึ้นจาก 3.6% ในปี 2023 แม้จะชะลอตัวลงเล็กน้อยเป็น 4.4% ในปี 2025 แต่ยังถือว่าอยู่ในระดับที่ดี และคาดว่าจะเติบโต 4.0% ในระยะยาว
IMF คาดการณ์ว่าเงินเฟ้อทั่วโลกจะลดลงจาก 6.7% ในปี 2023 เป็น 5.8% ในปี 2024 และ 4.3% ในปี 2025 โดยเศรษฐกิจพัฒนาแล้วจะกลับสู่เป้าหมายเงินเฟ้อเร็วกว่าตลาดเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนา
อย่างไรก็ตาม IMF เตือนว่ายังมีความเสี่ยงสำคัญหลายประการ ทั้งความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์พุ่งสูง ความเป็นไปได้ของสงครามการค้าใหม่ และผลกระทบจากนโยบายการเงินที่เข้มงวด นอกจากนี้ IMF ยังเตือนประเทศต่างๆ ไม่ให้ใช้นโยบายปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศมากเกินไป เนื่องจากมักไม่สามารถนำมาซึ่งการปรับปรุงมาตรฐานการครองชีพอย่างยั่งยืน
ที่มา: Reuters, IMF: World Economic Outlook, October 2024: Policy Pivot, Rising Threats