20 ชาติลงทุนไทย: ญี่ปุ่นนำโด่ง จีนโตพุ่ง 416%

27 ต.ค. 2567 | 05:19 น.
อัปเดตล่าสุด :27 ต.ค. 2567 | 05:21 น.

เปิดอันดับ 20 ชาติขนเงินลงทุนไทย 3 แสนล้านดอลลาร์ ญี่ปุ่นครองแชมป์ตลอดกาล สิงคโปร์-ฮ่องกงรั้งท็อป 3 แต่แนวโน้มลงทุนลด ขณะที่จีนโตพุ่ง 416% สหรัฐฯคว้าอันดับ 5

ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจไทยยังคงเป็นแม่เหล็กดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศอยู่หรือไม่? เป็นประเด็นที่หลายคนตั้งคำถาม รายงานพิเศษชิ้นนี้จะพาคุณไปสำรวจโฉมหน้า 20 ประเทศแรกที่ลงทุนในไทยมากที่สุด พร้อมวิเคราะห์แนวโน้มการลงทุนที่น่าจับตา ท่ามกลางการแข่งขันที่เข้มข้นของการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

“ฐานเศรษฐกิจ”รวบรวมข้อมูลจาก ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พบว่าตัวเลขยอดคงค้างเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ จำแนกตามประเทศ/เขตเศรษฐกิจ ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 321,567.91 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดย 20 อันดับแรกมีเงินลงทุนรวมกันสูงถึง 305,042.92 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนถึง 94.86% ของยอดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศทั้งหมด

ญี่ปุ่น: ผู้นำการลงทุนตลอดกาล

อันดับ 1 ญี่ปุ่น ยังคงครองตำแหน่งผู้นำการลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ด้วยมูลค่าลงทุนสูงถึง 95,806.55 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นประมาณ 1 ใน 3 ของเงินลงทุนต่างชาติทั้งหมด เมื่อพิจารณาข้อมูลย้อนหลัง 10 ปี พบว่าเม็ดเงินลงทุนจากญี่ปุ่นเติบโตกว่า 40% จาก 70,715 ล้านดอลลาร์ในปี 2557 โดยเฉพาะในช่วงปี 2559-2560 ที่มีการเติบโตก้าวกระโดดจาก 72,402 เป็น 86,647 ล้านดอลลาร์

ยอดคงค้างเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ จำแนกตามประเทศ/เขตเศรษฐกิจ ณ วันที่ 30 กันยายน 2567

สิงคโปร์-ฮ่องกง เม็ดเงินลงทุนลด

อันดับ 2 สิงคโปร์ มูลค่า 61,023.48 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจาก 31,565 ล้านดอลลาร์ในปี 2557 คิดเป็นการเติบโตถึง 92% ในรอบ 10 ปี โดยมีจุดเปลี่ยนสำคัญในช่วงปี 2561-2562 ที่มูลค่าการลงทุนพุ่งจาก 35,184 เป็น 46,801 ล้านดอลลาร์

อย่างไรก็ตามเป้นที่น่าสังเกตุว่า ในปี 2566 ยอดคงค้างเงินลงทุนของสิงคโปร์ในไทยลดลงจาก 61,889.24 ล้านดอลลาร์ ในปี 2565 เหลือ 60,760.89 ล้านดอลลาร์ และเพิ่มมาเป็น 61,023.48 ล้านดอลลาร์ ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2567

อันดับ 3 ฮ่องกง มูลค่า 26,376.43 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีการเติบโตแบบก้าวกระโดดถึง 142% จาก 11,272 ล้านดอลลาร์ในปี 2557 แม้จะเผชิญความผันผวนในช่วงปี 2561-2562 แต่ยังคงรักษาแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่ง

แต่ยอดคงค้างการลงทุนใน ณ สิ้นปี 2566 ก็ลดลงจากปี 2565 เช่นเดียวกับสิงคโปร์ และยังลดลงต่อเนื่อง เหลือ 26,376.43 ล้านดอลลาร์ ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2567

ยอดคงค้างเงินลงทุนจากต่างประเทศ

มหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา และเนเธอร์แลนด์อยู่ในอันดับ 4 และ 5 ด้วยมูลค่า 21,552.13 และ 19,938.40 ล้านดอลลาร์สหรัฐตามลำดับ โดยการลงทุนของสหรัฐฯในไทย เติบโต 34% ในรอบ 10 ปี จาก 15,966 ล้านดอลลาร์ในปี 2557 ขณะที่เนเธอร์แลนด์ก็มีการขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง

จีน: การเติบโตที่น่าจับตามอง

ประเด็นที่น่าสนใจคือ จีน แม้จะอยู่ในอันดับ 6 ด้วยมูลค่าลงทุน 18,048.18 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่มีอัตราการเติบโตสูงสุดในรอบ 10 ปีถึง 416% จาก 3,296 ล้านดอลลาร์ในปี 2557 สะท้อนการขยายอิทธิพลทางเศรษฐกิจในภูมิภาคอย่างมีนัยสำคัญ การเติบโตอย่างก้าวกระโดดนี้สอดคล้องกับนโยบาย Belt and Road Initiative ของจีน ที่มุ่งขยายการลงทุนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

อัตราการเติบโตของเงินลงทุนต่างชาติในไทย

ยุโรป: การลงทุนที่หลากหลาย

กลุ่มประเทศยุโรปมีบทบาทสำคัญในการลงทุนในไทย นำโดยสหราชอาณาจักร (อันดับ 7) เยอรมนี (อันดับ 10) และสวิตเซอร์แลนด์ (อันดับ 11) โดยแต่ละประเทศมีการลงทุนที่กระจายตัวในหลากหลายอุตสาหกรรม ทั้งการผลิต การเงิน และบริการ

ศูนย์กลางการเงิน: บทบาทที่น่าจับตา

ในกลุ่ม 20 อันดับแรก มีประเทศที่เป็นศูนย์กลางทางการเงิน 3 แห่งสำคัญ ได้แก่ บริติช เวอร์จิน ไอส์แลนด์ (อันดับ 8) มอริเชียส (อันดับ 13) และเคย์แมน ไอส์แลนด์ (อันดับ 14) รวมมูลค่าลงทุนกว่า 15,696.49 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

อย่างไรก็ตาม บริติช เวอร์จิน ไอส์แลนด์เป็นประเทศเดียวที่มีแนวโน้มลดลงในช่วงหลัง สะท้อนการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบการลงทุนผ่านศูนย์กลางการเงินนอกชายฝั่ง โดยตัวเลข ณ สิ้นปี 2566 ลดลงจากปี 2565 กว่า 2,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ล่าสุด ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2567 มียอดคงค้างการลงทุนเหลือ 6,535.24 ล้านดอลลาร์

ส่วนอันดับ 15-20 ได้แก่ ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย ไอร์แลนด์ อินเดีย และลักเซมเบิร์ก มีมูลค่าลงทุนรวมกัน 10,436.84 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

จากตัวเลขดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าญี่ปุ่น และประเทศในเอเชียมีบทบาทนำในการลงทุนในไทย ทั้งในแง่มูลค่าและอัตราการเติบโต ที่น่าจับตาคืออัตราการเติบโตที่สูงของการลงทุนจากจีน ที่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงในภูมิทัศน์การลงทุนของภูมิภาค ขณะที่การลงทุนจากชาติตะวันตกมีอัตราการเติบโตที่ต่ำกว่า

อย่างไรก็ตาม การรักษาและดึงดูดการลงทุนในอนาคตจำเป็นต้องอาศัยการพัฒนาปัจจัยพื้นฐานและการปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลก

หมายเหตุ: ยอดคงค้างเงินลงทุนโดยตรงของไทยในต่างประเทศเป็นยอดคงค้างเงินลงทุนที่ผู้ลงทุนทีมีถิ่นที่อยู่ในประเทศมีต่อธุรกิจ ทีมีถิ่นที่อยู่ในต่างประเทศ ประกอบด้วย

  1. ยอดคงค้างเงินลงทุนในทุนเรือนหุ้น (Equity capital) ซึ่งหมายถึง การลงทุน ด้วยการถือหุ้นที่มีสิทธิ์ร่วมในการบริหารกิจการตั้งแต่10% ขึ้นไป
  2. ยอดคงค้างการกู้ยืมระหว่างบริษัทในเครือ หรือ บริษัทผู้ลงทุนโดยตรง (การกู้ยืม ตราสารหนี้ และสินเชื่อการค้า)
  3. ยอดคงค้างกำไรที่นำกลับมาลงทุน