World Gold Council (WGC) เผยรายงานแนวโน้มราคาทองคำประจำปี 2568 ระบุว่าทองคำมีผลงานยอดเยี่ยมในปี 2567 โดยราคาปรับตัวขึ้น 28% จนถึงเดือนพฤศจิกายน สร้างสถิติสูงสุดใหม่ถึง 40 ครั้ง และมูลค่าการซื้อขายทองคำในไตรมาส 3 ทะลุ 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐเป็นครั้งแรก
ปัจจัยหลักที่หนุนราคาทองคำในปี 2567 มาจากการซื้อของธนาคารกลางและนักลงทุน ซึ่งช่วยชดเชยการชะลอตัวของอุปสงค์ผู้บริโภค นักลงทุนเอเชียยังคงเป็นผู้ซื้อที่แข็งแกร่ง
ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ลดลงและดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าในไตรมาส 3 ช่วยกระตุ้นการไหลเข้าของเงินลงทุนจากนักลงทุนตะวันตก
อย่างไรก็ตาม บทบาทของทองคำในฐานะสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงท่ามกลางความผันผวนของตลาดและความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น น่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่อธิบายผลงานอันโดดเด่นนี้
สำหรับปี 2568 WGC มองว่าทุกสายตาจับจ้องไปที่ผลกระทบจากการเข้ารับตำแหน่งสมัยที่สองของประธานาธิบดีทรัมป์ต่อเศรษฐกิจโลก นักลงทุนที่ชอบความเสี่ยงอาจได้ประโยชน์จากกระแสการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงในช่วงแรก แต่สงครามการค้าที่อาจเกิดขึ้นและแรงกดดันเงินเฟ้ออาจส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจที่คาดว่าจะต่ำกว่าแนวโน้ม
ตลาดคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 100 เบซิสพอยต์ภายในสิ้นปี 2568 โดยเงินเฟ้อจะชะลอตัวลงแต่ยังคงสูงกว่าเป้าหมาย
ขณะที่ธนาคารกลางในยุโรปก็น่าจะปรับลดดอกเบี้ยในระดับใกล้เคียงกัน ส่วนดอลลาร์สหรัฐคาดว่าจะทรงตัวหรืออ่อนค่าลงเล็กน้อยเมื่อสภาวะตลาดกลับสู่ภาวะปกติ ขณะที่การเติบโตของเศรษฐกิจโลกยังคงเป็นบวกแต่ต่ำกว่าแนวโน้ม
WGC ระบุว่าการดำเนินนโยบายของเฟดและทิศทางของดอลลาร์สหรัฐจะยังคงเป็นปัจจัยสำคัญต่อราคาทองคำ เช่นเดียวกับที่เห็นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ทั้งสองปัจจัยนี้ไม่ใช่ตัวกำหนดเพียงอย่างเดียว WGC จึงใช้กรอบการวิเคราะห์ที่ครอบคลุมองค์ประกอบทั้งด้านอุปสงค์และอุปทานของทองคำ
โดยพิจารณาจาก 4 ปัจจัยหลัก ได้แก่:
1. การขยายตัวทางเศรษฐกิจ - ซึ่งส่งผลโดยตรงต่ออุปสงค์ผู้บริโภค
2. ความเสี่ยงและความไม่แน่นอน - ที่กระตุ้นการไหลเข้าของเงินลงทุนจากนักลงทุนที่มองหาเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ
3. ต้นทุนค่าเสียโอกาส - ที่ทำให้ทองคำน่าดึงดูดมากขึ้นหรือน้อยลงเมื่อเทียบกับผลตอบแทนพันธบัตร
4. แรงส่ง (Momentum) - ซึ่งสามารถเสริมแนวโน้มหรือทำให้ราคากลับสู่ค่าเฉลี่ย
การวิเคราะห์ของ WGC โดยใช้เครื่องมือ Qaurum ชี้ว่าหากเศรษฐกิจเป็นไปตาการคาดการณ์ของตลาดในปี 2568 ราคาทองคำอาจเคลื่อนไหวในกรอบใกล้เคียงกับช่วงท้ายปี 2567 พร้อมโอกาสปรับตัวขึ้น
อย่างไรก็ตาม อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นและการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่ำลงอาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อนักลงทุนและผู้บริโภค โดยเฉพาะในเอเชีย ในทางตรงกันข้าม อัตราดอกเบี้ยที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ หรือการเสื่อมถอยของสภาวะทางภูมิรัฐศาสตร์หรือตลาดการเงินจะช่วยหนุนผลการดำเนินงานของทองคำ
อีกจุดสำคัญคือการซื้อทองคำของธนาคารกลาง ซึ่งยังคงเป็นบวกต่อทองคำหากยังอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง โดยธนาคารกลางทั่วโลกได้กลายเป็นผู้ซื้อสุทธิมาเกือบ 15 ปีแล้ว สะท้อนความสำคัญของทองคำในทุนสำรองระหว่างประเทศ ทั้งในแง่การเป็นแหล่งเก็บมูลค่าระยะยาว การกระจายความเสี่ยง ประสิทธิภาพในช่วงวิกฤต และการไม่มีความเสี่ยงด้านเครดิต
แม้ว่าการซื้อของธนาคารกลางในปี 2567 จะต่ำกว่าสถิติก่อนหน้า แต่ยังคงแข็งแกร่งและมีส่วนช่วยหนุนราคาทองคำราว 7-10% โดย WGC คาดว่าแนวโน้มนี้จะยังคงอยู่ต่อไป และอุปสงค์ที่เกิน 500 ตัน (ค่าเฉลี่ยระยะยาว) ยังส่งผลบวกต่อราคา ซึ่ง WGC เชื่อว่าการซื้อของธนาคารกลางในปี 2568 จะสูงกว่าระดับนี้ แต่การชะลอตัวต่ำกว่าระดับดังกล่าวอาจสร้างแรงกดดันเพิ่มเติมต่อทองคำ
สำหรับอุปสงค์ในเอเชีย จีนและอินเดียยังคงเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของทองคำ โดยเอเชียมีสัดส่วนมากกว่า 60% ของอุปสงค์รายปี (ไม่รวมธนาคารกลาง) ทำให้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อราคา ในปี 2567 นักลงทุนเอเชียช่วยหนุนราคาโดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีแรก ขณะที่อุปสงค์อินเดียได้ประโยชน์จากการลดภาษีนำเข้าในครึ่งปีหลัง
อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงจากสงครามการค้ายังคงอยู่ในระดับสูง อุปสงค์ผู้บริโภคจีนจะขึ้นอยู่กับสุขภาพของการเติบโตทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะผ่านช่องทางปกติหรือการกระตุ้นจากรัฐบาล และแม้ว่าปัจจัยที่มีอิทธิพลต่ออุปสงค์การลงทุนในปี 2567 จะยังคงอยู่ แต่ทองคำอาจเผชิญการแข่งขันจากหุ้นและอสังหาริมทรัพย์
ส่วนอินเดียดูจะอยู่ในจุดที่ดีกว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจยังคงสูงกว่า 6.5% และการขึ้นภาษีใดๆ จะส่งผลกระทบน้อยกว่าคู่ค้าอื่นๆ ของสหรัฐฯ เนื่องจากมีการขาดดุลการค้าที่ต่ำกว่ามาก ซึ่งจะช่วยสนับสนุนอุปสงค์ทองคำจากผู้บริโภค ในขณะเดียวกัน ผลิตภัณฑ์การลงทุนในทองคำทางการเงินมีการเติบโตที่น่าประทับใจ และแม้จะมีสัดส่วนเล็กน้อยในตลาดโดยรวม แต่ก็เป็นส่วนเสริมที่ดีต่อระบบนิเวศของทองคำ
ที่มา: World Gold Council