ในอุตสาหกรรมยาบ้านเรา ถ้าจะบอกว่าภาพรวมยังมีความล้าหลังประเทศฝั่งยุโรปอยู่บ้างก็คงไม่ผิด แต่ด้วยศักยภาพความสามารถของเภสัชกรนักคิด ไทยเราไม่ได้ด้อยกว่าประเทศอื่น "อุตสาหกรรมยาของไทยมีโอกาสก้าวขึ้นสู่เวทีโลกได้ โดยเฉพาะวัตถุดิบ "สมุนไพรไทย" ที่ขณะนี้รัฐบาลให้ความสำคัญอย่างยิ่งด้วยเป้าหมายในสมุนไพรเป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ขับเคลื่อน Thailand 4.0 เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม มุ่งเป้าส่งออกอาเซียน ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขเปิดเผยข้อมูลว่า มีมูลค่าการใช้และการส่งออกกว่า 2.4 หมื่นล้านบาทต่อปี
[caption id="attachment_96610" align="aligncenter" width="335"]
ภก.สุวิทย์ งามภูพันธ์[/caption]
"ฐานเศรษฐกิจ" ได้พูดคุยกับ "ภก.สุวิทย์ งามภูพันธ์" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บางกอกดรัก จำกัด ในฐานะหนึ่งในที่ปรึกษาการทำร่างแผนแม่บทแห่งชาติ ว่าด้วยการพัฒนาสมุนไพรไทย ปี 2560-2564 ได้ข้อมูลว่า ตลาดยาไทยมีโอกาสพัฒนา จากตลาดยาที่แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ยาสามัญ (Generic drugs) และ ยาต้นแบบ (Original drugs) ส่วนใหญ่ตลาดยาในบ้านเรา เป็นยาต้นแบบ ซึ่งผลิตมาจากต่างประเทศประมาณ 80% จากมูลค่าตลาดกว่า 1.3 แสนล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็น ยาสามัญ หรือยาเลียนแบบ ไม่มีบริษัทไหนที่ทำวิจัยและพัฒนายาเพื่อสุขภาพขึ้นมาเองเลย ซึ่งนั่นคือโอกาสที่สูญเสียไป
ขณะนี้ ผู้บริหารบางกอกดรัก มีแนวคิดที่จะพัฒนาให้ยาสมุนไพรไทย ขยับขึ้นมาจากยาสามัญ มาเป็นยาต้นแบบ เพื่อรักษาและนำไปจำหน่ายในตลาดโลก เช่นเดียวกับยุโรป ที่มีสัดส่วนยาต้นแบบประมาณ 60% และญี่ปุ่นเริ่มพัฒนาจาก 40% ขึ้นมาเป็น 50% ซึ่งยังแตกต่างจากไทยมาก และปัจจุบันคนไทยถือว่าเป็นคนไข้ที่ใช้ยาราคาแพง เพราะเมื่อกว่า 10 ปีที่แล้ว ไทยทำได้แค่ผลิตยาเลียนแบบต่างชาติหรือ ยาสามัญ ทั้งๆ ที่ไทยมีสมุนไพรซึ่งเป็นของดีด้านการรักษาสุขภาพ สามารถสู้ และต่อยอดไปขายต่างประเทศได้
[caption id="attachment_96611" align="aligncenter" width="500"]
สมุนไพรไทย[/caption]
"เราเริ่มทำวิจัยและพัฒนาสมุนไพร ซึ่งตอนนี้เรายังใช้แคมเปญนี้อยู่ เมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว เป็นโครงการที่เรียกว่า "บูรณาการภูมิเภสัชกรไทย สู่สากล" เราตั้งธงตั้งแต่ตอนนั้น ว่าจะเอาภูมิความรู้ของเภสัชกร มาพัฒนาและวิจัย เพื่อให้สู้กับต่างชาติได้" ภก.สุวิทย์กล่าวและว่า ที่ผ่านมา ยาของบากอกดรักถือเป็นที่ยอมรับในวงการแพทย์และโรงพยาบาลอยู่แล้ว และบอกกอกดรักให้ความสำคัญมากกับการนำสมุนไพรมาสกัดเป็นยาสามัญ ไม่ว่าจะเป็น ไพล กระชากดำ พริก
ล่าสุด ยังได้เพิ่มโอกาสในการขยายตลาด ด้วยการจับมือกับบริษัท นิชิอิโคะ( ประเทศไทย ) จำกัด บริษัทยาสามัญอันดับต้นๆ ของญี่ปุ่น ซึ่ง "ภก.สุวิทย์" บอกว่า นี่คือการต่อยอดทางธุรกิจ มีการวางแผนที่จะนำยาต้นแบบบางตัวของเขาเข้ามาทำตลาดในเมืองไทย ทำให้คนไทยสามารถเข้าถึงยาดีๆ ในราคาที่ไม่แพง และยังเป็นแนวทางที่จะเชื่อมต่อให้บริษัท นิชิอิโคะ เข้ามาร่วมลงทุนในไทย และใช้ไทยเป็นศูนย์กลางในการผลิตยาออกจำหน่ายสู่ตลาดเออีซี พร้อมทั้งส่งกลับไปทำตลาดในประเทศญี่ปุ่น เพราะผู้นำของบริษัท นิชิอิโคะ( ประเทศไทย ) จำกัด มีเป้าหมายที่จะพัฒนาและขยายตลาดของตัวเอง ให้เป็น 1 ใน 10 บริษัทยาต้นแบบชั้นนำในตลาดโลก ซึ่งนี่คือช่องทางสำคัญ ที่จะทำให้ไทยได้ขยายตลาดสมุนไพรผ่านเครือข่ายของเขาด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้จากข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข โดย ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า ปัจจุบันตลาดทั่วโลกมีความต้องการสมุนไพร ไปใช้เพื่อการรักษาโรคและดูแลสุขภาพเพิ่มมากขึ้น โดยพัฒนาไปเป็นเครื่องสำอาง และกลุ่มยาอาหารเสริม และจากข้อมูลของสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร(องค์การมหาชน) ปี 2557 มูลค่าการใช้และส่งออกสมุนไพรไทยรวมกว่า 2.4 แสนล้านบาท แบ่งเป็นกลุ่มเครื่องสำอาง 1.4 แสนล้านบาท กลุ่มอาหารเสริม 8 หมื่นล้านบาท กลุ่มสปาและผลิตภัณฑ์ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท และกลุ่มยาแผนโบราณตามภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย 1 หมื่นล้านบาท
ส่วนตลาดยามูลค่ารวมกว่า 1.3 แสนล้านบาทต่อปี เติบโตเฉลี่ยประมาณ 15% ต่อปี แบ่งเป็นตลาดโรงพยาบาลและคลินิค ประมาณ 1 แสนล้านบาท และตลาดร้านขายยากว่า 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่ห่างกันมาก ขณะที่อุตสาหกรรมยาเป็นตลาดใหญ่ การเติบโตสูง มีบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งไทยและต่างชาติเข้ามาทำธุรกิจร้ายขายยา พร้อมผลักดันให้ผู้ประกอบวิชาชีพอื่น สามารถอยู่ประจำร้านขายยาแทนเภสัชกรได้ และล่าสุด กรมสรรพากร กำลังพยายามเดินหน้าให้ผู้ประกอบการที่เสียภาษีบุคคลธรรมดา ยกระดับเป็นบริษัทนิติบุคคลอีก 1 แสนรายในปี 2560 ซึ่งหนึ่งในธุรกิจที่ถูกดึงเข้าร่วมคือ ร้านขายยา โดยตั้งเป้าว่าจะเพิ่มประเภทภาษีนิติบุคคลไปยังกลุ่มธุรกิจร้านขายยา ประกอบด้วย สมาคมร้านขายยา สมาคมเภสัชกรรมชุมชน (ประเทศไทย) ชมรมร้านขายยา ที่มีสมาชิกทั่วประ เทศกว่า 1 หมื่นราย ในจำนวนนี้ เป็นผู้ประกอบการบุคคลธรรมดาถึง 90% หรือ 19,000 ราย มีรายได้หมุน 1-2 แสนล้านบาทต่อปี
จากข้อมูลข้างต้น แสดงให้เห็นว่าโอกาสทางการตลาดของธุรกิจยายังมีอีกมาก หากเภสัชกรไทยมีการพัฒนาและวิจัย พร้อมทั้งนำสมุนไพรที่มีอยู่มาสร้างมูลค่าเพิ่ม สร้างมาตรฐานให้กับตัวเอง จะช่วยส่งเสริมให้ยาไทยก้าวสู่เวทีโลกได้ไม่ยาก และคนไทยเอง ก็ไม่ต้องใช้ยาแพงอีกต่อไป เพราะคนไทยสามารถผลิตยาต้นแบบที่มีคุณภาพเองได้
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,191 วันที่ 11 - 14 กันยายน พ.ศ. 2559