นางปราณี รุ้งมโนชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสจีเอส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วงสถานการณ์โควิด หลายธุรกิจได้รับผลกระทบหนัก ทำให้ธุรกิจต้องมีการปรับตัว เช่นเดียวกับเอสจีเอสได้ปรับเปลี่ยนแนวทางบริหารงานสู่การตลาดแบบออฟไลน์และออนไลน์เพื่อให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว โดยนำเอานวัตกรรมเข้ามาปรับใช้ในการทำงานเพื่อให้งานมีคุณภาพมากขึ้น รวดเร็วขึ้น การพัฒนาแอพพลิเคชั่นต่างๆ นำมาให้บริการกับลูกค้า การปรับปรุงพัฒนาขั้นตอนการปฏิบัติงานภายในองค์กรอย่างต่อเนื่องโดยนำร่องโครงการ World Class Services (WCS) ที่ห้องแล็บของบริษัทฯ เพื่อการพัฒนาอย่างต่อเนื่องด้านคุณภาพ ประสิทธิภาพ ในทุกๆ ด้าน จะส่งผลโดยตรงต่อการส่งมอบผลงานที่ความพึงพอใจสูงสุดต่อลูกค้า
แต่ทั้งนี้มองว่าปัจจุบันสถานการณ์ต่างๆเริ่มคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น เศรษฐกิจไทยกลับมาฟื้นตัว จากการเปิดประเทศและการผ่อนปรนมาตรการต่างๆมากขึ้น ซึ่งช่วยให้ธุรกิจเดินหน้าได้คล่องตัว ในขณะที่เศรษฐกิจโลกเองแม้ว่าจะยังมีปัจจัยลบอยู่ไม่ว่าจะเป็น ภาวะเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ที่กระทบกับซัพพลาย รวมไปถึงราคาน้ำมันที่ยังคงผันผวนซึ่งกระทบกับดีมานด์ แต่เชื่อว่าในปีหน้าสถานการณ์ดังกล่าวน่าจะเริ่มมีทิศทางที่ดี แต่อย่างไรก็ตามในส่วนของบริษัทแม้ว่าจะได้รับผลกระทบแต่ก็ไม่มากเนื่องจากว่าบริษัทมีการทำธุรกิจที่หลากหลายและมั่นใจว่าในปีหน้าเศรษฐกิจจะกลับมาดีกว่าปีนี้
“ปีนี้มั่นใจว่าธุรกิจของเอสจีเอสจะขยายตัวมากกว่า7% ทำให้ในปีหน้ายังก็น่าจะขยายตัวไม่น้อยกว่าปีนี้จากอานิสงส์จากมาตรการต่างๆของภาครัฐ ซึ่งแผนการลงทุนในปีนี้ บริษัทได้ทุ่มงบกว่า100ล้านบาท ในการทำขยายห้องแล็บในพื้นที่อีอีซีและในพื้นที่พระราม3 เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจ ซึ่งจะต่อเนื่องไปถึงปีหน้าที่เชื่อว่าธุรกิจที่เป็นกลุ่มลูกค้าของบริษัทจะกลับมา”
นอกจากนี้บริษัทยังมีบริการด้าน Business Solutions ได้แก่ Knowledge Solutions, Digital Solutions และ Sustainability Solutions ไม่ว่าลูกค้าต้องการบริการด้านใด ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน หรือไม่ว่าจะอยู่ในภาคส่วนธุรกิจใด ผู้เชี่ยวชาญของเอสจีเอสสามารถนำเสนอ Special Solutions เพื่อให้ลูกค้าเร็วกว่า ง่ายกว่า และมีประสิทธิภาพมากกว่า โดยธุรกิจหลักของบริษัทยังคงความเป็น TIC และขณะเดียวกันก็มีบริการด้าน Consultancy และ Training เอสจีเอสมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาและเพิ่มศักยภาพห้องแล็บของบริษัทฯ ในกรุงเทพฯ ให้เป็น Testing Hub รองรับการบริการวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ทดสอบอาหารและสินค้าอื่นในระดับภูมิภาค การขยายกำลังการบริการห้องแล็บทดสอบเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย
และ สินค้าอุปโภคบริโภค การขยายห้องแล็บจุลชีวะเพื่อทดสอบอาหาร การลงทุนด้านห้องแล็บที่นิคมอมตะซิตี้ ชลบุรี ด้านการทดสอบอุปกรณ์ไฟฟ้า แอร์ ตู้เย็น อื่นๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวอุตสาหกรรมในประเทศ การพัฒนา Knowledge Solutions ใหม่ๆ อาทิ ด้าน IT และ International Regulation ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการขยายบริการที่สนับสนุนลูกค้าเกี่ยวกับบริการด้าน Sustainability เพื่อสนับสนุนลูกค้าที่ต้องการพัฒนาสู่ธุรกิจที่ยั่งยืน