บริษัท ไบโอ กรีน เอ็นเนอร์ยี่ เทค จำกัด (มหาชน) หรือ BIOTEC ผู้ดำเนินธุรกิจ Holding Company ผ่านบริษัทย่อยทั้งในประเทศและต่างประเทศ อาทิ ธุรกิจพาณิชย์นาวี ธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำมันไบโอดีเซล และกลีเซอรีน แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยถึงผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกปี 2565 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2565 ว่า
โดยแบ่งเป็นสัดส่วนรายได้จาก
ส่วนผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2565
แบ่งเป็นสัดส่วนรายได้จาก
ทั้งนี้สาเหตุที่ผลการดำเนินงานเติบโตอย่างโดดเด่น เป็นผลมาจากการเติบโตของรายได้จากธุรกิจธุรกิจพาณิชย์นาวี เนื่องจากความต้องการการขนส่งทางเรือเพิ่มมากขึ้น สอดคล้องกับอัตราค่าระวางเรือในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ รวมทั้งรายได้จากธุรกิจด้านผลิตและจำหน่ายน้ำมันไบโอดีเซล และกลีเซอรีน เพิ่มขึ้น 100.00% จากงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากบริษัทฯ เริ่มรับรู้รายได้จากการดำเนินธุรกิจของบริษัทย่อย 2 แห่งที่ผลิตและจำหน่ายน้ำมันไบโอดีเซล และกลีเซอรีน ตั้งแต่วันที่ 25 มกราคม 2565 และวันที่ 27 กรกฎาคม 2565 เป็นต้นมา
โดยมีรายได้หลักมาจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นน้ำมันไบโอดีเซลจากน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ ซึ่งมีคุณสมบัติใกล้เคียงกับน้ำมันดีเซล เพื่อจัดจำหน่ายให้แก่ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 เพื่อนำไปผสมกับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วในสัดส่วนตามที่ภาครัฐกำหนด และได้ผลผลิตเป็นน้ำมันดีเซลที่มีส่วนผสมของไบโอดีเซลสำหรับจำหน่ายให้แก่ผู้บริโภคเพื่อใช้กับยานยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลต่อไป
นายรุ่งนิรันดร์ ตั้งสุรกิจ กรรมการผู้จัดการ บมจ. ไบโอ กรีน เอ็นเนอร์ยี่ เทค (BIOTEC) เปิดเผยถึงภาพรวมธุรกิจในช่วงไตรมาส 4/2565 ว่า ภายหลังที่บริษัทฯ มีการปรับโครงสร้างธุรกิจ เป็นผู้ประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้น (Holding Company) โดยมีธุรกิจหลักคือ ธุรกิจพาณิชย์นาวี และได้ลงทุนเพิ่มในธุรกิจน้ำมันปาล์ม เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงจากการพึ่งธุรกิจพาณิชย์นาวีเพียงอย่างเดียว และยังเป็นการเพิ่มรายได้ให้บริษัทฯ อย่างยั่งยืนมากขึ้นในอนาคต
สำหรับแนวโน้มธุรกิจพาณิชย์นาวี มองว่า บริษัทยังมีความสามารถในการสร้างรายได้และกำไรอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ทั่วโลกที่คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น ประกอบกับสถานการณ์ความไม่สงบระหว่างประเทศรัสเซียและยูเครน ทำให้ความต้องการใช้เรือเพิ่มสูงขึ้น ปัจจุบันบริษัทฯให้บริการขนส่งทางทะเลในเส้นทางเอเชีย-ตะวันออกกลาง และทั่วโลก โดยบริษัทฯ ยังคงให้บริการขนส่งกลุ่มลูกค้าได้อย่างดี
ขณะที่ธุรกิจน้ำมันปาล์ม ได้ผ่านช่วงราคาน้ำมันปาล์มที่มีความผันผวนค่อนข้างสูง แต่หากมองในระยะถัดไปเชื่อว่าแนวโน้มความต้องการใช้ยังเติบโต จากการปรับสูตรการผสมขั้นต่ำของไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซล เป็น B7 อีกทั้งยังมีการเปิดเมืองและการกลับมาของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นตัวแปรหลักต่อการใช้น้ำมันปาล์มเพิ่มขึ้น
ปัจจุบัน บมจ. ไบโอ กรีน เอ็นเนอร์ยี่ เทค มีกำลังการผลิตน้ำมันไบโอดีเซลรวม ประมาณ 500,000 ลิตรต่อวัน โดยแบ่งเป็นโรงผลิตที่จังหวัดชุมพร มีกำลังการผลิต 200,000 ลิตรต่อวัน และโรงผลิตที่จังหวัดระยองมีกำลังการผลิต 300,000 ลิตรต่อวัน โดยทั้งสองโรงผลิตยังคงเดินเครื่องเต็มกำลัง
นอกจากนี้ กรรมการผู้จัดการ บมจ. ไบโอ กรีน เอ็นเนอร์ยี่ เทค ยังได้กล่าวทิ้งท้ายว่า ขณะนี้บริษัทฯอยู่ระหว่างการศึกษาต่อยอดธุรกิจในส่วนของกลีเซอรีน ซึ่งกลีเซอรีนเป็นผลิตภัณฑ์พลอยได้ที่มาจากการผลิตน้ำมันไบโอดีเซล บริษัทฯ จึงมองถึงเรื่องการสร้างมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจ เนื่องจากกลีเซอรีน เป็นเคมีภัณฑ์จากธรรมชาติ ที่ถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายในกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องสำอาง สินค้าอุปโภคบริโภค อาหาร และยา จึงทำให้ความต้องการในการใช้กลีเซอรีนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งในรูปแบบกลีเซอรีนบริสุทธิ์ และผลิตภัณฑ์แปรรูปที่ใช้กลีเซอรีนเป็นส่วนผสมในการผลิต โดยเฉพาะในตลาดอาเซียนที่มีความต้องการผลิตภัณฑ์ดังกล่าว เพื่อนำไปผลิตเครื่องสำอาง ดังนั้นจากปัจจัยดังกล่าวทำให้บริษัทฯ มองเห็นโอกาสในการขับเคลื่อนเพื่อต่อยอดธุรกิจในส่วนของกลีเซอรีน
“บริษัทพร้อมเดินหน้าปรับขบวนธุรกิจใหม่ หลังเข้าลงทุนในธุรกิจน้ำมันปาล์ม ซึ่งเป็นการเสริมศักยภาพให้ผลการดำเนินงานในอนาคตของ BIOTEC เติบโตอย่างยั่งยืน จากความแข็งแกร่ง (Synergy) ของกลุ่มธุรกิจปาล์มที่สามารถต่อยอดไปยังโปรดักส์ใหม่ที่มีมาร์จิ้นสูง ควบคู่ไปกับการพัฒนาในส่วนของธุรกิจพาณิชย์นาวี เพื่อลดความเสี่ยงในการพึ่งพาธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งเพียงอย่างเดียว และยังสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นในอนาคตจากการเติบโตของผลการดำเนินงานที่เกิดขึ้น”