นางสาวทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เร่งขับเคลื่อนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเป็นหัวใจของการพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้าและทันสมัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาระบบขนส่งทางราง ซึ่งจะช่วยให้การเดินทางและขนส่ง มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
และทำให้การดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ทั้งธุรกิจ การค้าการลงทุน เป็นไปได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว เสริมศักยภาพด้านเศรษฐกิจการค้าและโลจิสติกส์ เพื่อความอยู่ดีกินดีของประชาชนในภูมิภาค ทั้งยังเป็นการส่งเสริมให้เศรษฐกิจของประเทศพัฒนาได้อย่างเต็มที่โดยได้ผลักดันโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ช่วงลพบุรี – ปากน้ำโพ งบประมาณก่อสร้าง จำนวน 21,467 ล้านบาท ผ่านมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2559
ซึ่งเป็นโครงการภายใต้ยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทยพ.ศ. 2558-2565 เพื่อเพิ่มศักยภาพการให้บริการขนส่งระบบราง รองรับจำนวนผู้โดยสารและปริมาณการขนส่งสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้น และลดระยะเวลาในการเดินทางและการขนส่งสินค้า เพื่อเร่งยกระดับให้บริการโลจิสติกส์สู่พื้นที่ภาคเหนือ
โครงการดังกล่าวเป็นงานก่อสร้างทางรถไฟใหม่ขนานไปกับทางรถไฟเส้นเดิมของช่วงลพบุรี – ปากน้ำโพ รวมระยะทางประมาณ 145 กิโลเมตร โดยส่วนใหญ่อยู่ในเขตทางรถไฟและเป็นทางวิ่งระดับพื้นระยะทางประมาณ 116 กิโลเมตร และทางช่วงเลี่ยงเมืองลพบุรีเป็นโครงสร้างทางรถไฟยกระดับ ระยะทางประมาณ 29 กิโลเมตร ประกอบด้วยงานก่อสร้างรถไฟทางคู่ จำนวน 2 สัญญา และงานติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณและโทรคมนาคม
สัญญาที่ 1 ได้แก่ ช่วงบ้านกลับ – โคกกระเทียม เป็นการเป็นก่อสร้างทางรถไฟทางคู่ใหม่ เพื่อเบี่ยงแนวเส้นทางเดิมช่วงที่ผ่านเข้าตัวเมืองลพบุรี ระยะทาง 29 กิโลเมตร เริ่มต้นที่บริเวณสถานีบ้านกลับ จังหวัดสระบุรี สิ้นสุดบริเวณสถานีโคกกระเทียม จังหวัดลพบุรี ประกอบด้วย ทางรถไฟยกระดับ 23 กิโลเมตร และทางรถไฟระดับพื้นดิน 6 กิโลเมตรเดือนธันวาคม 2565 ก้าวหน้าไปแล้ว 81.72%
สัญญาที่ 2 ช่วง ท่าแค – ปากน้ำโพ เป็นงานก่อสร้างทางรถไฟใหม่เพิ่มอีก 1 ทาง ขนานไปกับเส้นทางรถไฟเดิม ระยะทาง 116 กิโลเมตร เริ่มต้นที่บริเวณสถานีท่าแค จังหวัดลพบุรี โดยก่อสร้างตามแนวเส้นทางรถไฟเดิม สิ้นสุดบริเวณสถานีปากน้ำโพ จังหวัดนครสวรรค์ เดือนธันวาคม ก้าวหน้าไปกว่า 75.60 %
ส่วนงานติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณและโทรคมนาคม เดือนธันวาคม มีความก้าวหน้า 26.33% ทั้งนี้คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2566
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า โครงการพัฒนารถไฟทางคู่ใหม่ รูปแบบการพัฒนาทางรถไฟใหม่เพิ่ม 1 ทางขนานไปกับทางรถไฟเดิม ในส่วนของการออกแบบก่อสร้างสถานียังคงเอกลักษณ์ท้องถิ่นเป็นหลัก มีการนำสถาปัตยกรรมท้องถิ่นมาประยุกต์ใช้ในการออกแบบ เพื่อให้เกิดความสวยงามและกลมกลืนกับสภาพภูมิประเทศผสมผสานกับความทันสมัยและความคิดสร้างสรรค์ทั้งสถานีขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็ก เน้นความปลอดภัย ง่ายต่อการขนส่ง พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครันเพื่อสนับสนุนการเดินทางของประชาชน และการคมนาคมขนส่งของผู้ประกอบการในภาคธุรกิจ และมีการอนุรักษ์อาคารสถานีรถไฟเดิมทุกสถานี โดยคาดว่าจะพร้อมเปิดให้บริการในปี 2566
"พล.อ.ประยุทธ์ได้เน้นย้ำเรื่องการก่อสร้างที่ได้มาตรฐานและความปลอดภัย และให้ความสำคัญกับโครงการนีโดยเคยลงไปตรวจความคืบหน้าโครงการด้วยตนเองเมื่อปี 2561 ทั้งนี้เชื่อว่าหากโครงการนี้แล้วเสร็จถือเป็นความตั้งใจที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะพลิกโฉมการขนส่งทางรางไทยให้รวดเร็วทันสมัย เพิ่มทางเลือกในการเดินทางให้กับประชาชน ลดเวลาการเดินทางเพราะด้วยความเร็ว 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง จะทำให้ผู้โดยสารใช้เวลาเดินทางระหว่าง กรุงเทพฯ - นครสวรรค์เพียง 2 ชั่วโมง 40 นาที ลดต้นทุนการขนส่งด้านโลจิสติกส์ด้วยการรองรับการขนส่งสินค้า 144,000 ตัน/วันในปี 2577 กระตุ้นเศรษฐกิจการค้าขาย ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ เพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจกระจายความเจริญสู่ภูมิภาค และท้องถิ่น ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ให้ความสำคัญกับการพัฒนาในทุกพื้นที่ไม่แบ่งแยกหรือเลือกจังหวัด” รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุ