หวานเจี๊ยบจนกลบสถานการณ์การเมืองร้อน ๆ ของบ้านเราหายไปในบัดดล หลังจากพระเอกหนุ่ม “ณเดชน์ คูกิมะยะ” ทำเซอร์ไพรส์ขอแต่งงานกับนางเอกสาว “ญาญ่า อุรัสยา เสปอร์บันด์” ที่ประเทศอิตาลี หลังคบกันมาเข้าปีที่ 12 พร้อมกับโพสต์โมเมนต์สุดโรแมนติกลงในไอจีของทั้งคู่ ทำเอาเหล่าเพื่อน ๆ และเอฟซีเข้าไปแสดงความยินดีกันถล่มทลาย
โดยพระเอกหนุ่มโพสต์ว่า “ผมคือผู้ชายที่มีความสุขที่สุด เพราะผมโชคดีที่สุด ที่มีผู้หญิงคนนี้อยู่ในชีวิตการเดินทางครั้งใหม่เริ่มต้นแล้ว และผมโคตรตื่นเต้นเลย You are my soul my laugh my tear my air. And thank you for saying “YES” - well actually I said AHHHHEEEEEHHH *SCREAMSS and then YES!! Hehe to the moon and back baby.”
เส้นทางความรักของคู่นี้ เริ่มต้นครั้งแรกเมื่อกว่าสิบปีก่อน จากคู่พระ-นาง ในละครเรื่องแรกที่สร้างชื่อให้กับทั้งคู่นั่นคือ ดวงใจอัคนี ซึ่งออกอากาศเมื่อช่วงปลายปี 2553 จนทำให้กลายเป็นคู่จิ้นแห่งวงการบันเทิง ก่อนพัฒนาความสัมพันธ์จนมาถึงวันที่พระเอกหนุ่มขอแต่งงานในที่สุด
ในอีกมุมหนึ่งนอกเหนือจากวงการบันเทิงแล้ว คู่รักทั้งสองยังมีอีกบทบาทในฐานะนักธุรกิจ โดยฐานเศรษฐกิจตรวจสอบข้อมูลของ “ณเดชน์-ญาญ่า” ผ่านระบบบริการวิเคราะห์ข้อมูลบริษัทครบวงจร Creden Data จากฐานข้อมูลกรมพัฒนาธุรกิจการค้าพบชื่อสองคนทำธุรกิจหลายบริษัท โดยมีรายละเอียดดังนี้
ธุรกิจของพระเอกหนุ่ม “ณเดชน์ คูกิมะยะ”
จากการตรวจสอบข้อมูลการทำธุรกิจของพระเอกหนุ่ม “ณเดชน์ คูกิมะยะ” พบว่า เป็นกรรมการบริษัทด้วยกัน 2 แห่ง นั่นคือ
1.บริษัท ณอร์ตาร์ เวลตี้ จำกัด จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2565 ด้วยทุนจดทะเบียน 2 ล้านบาท ประกอบกิจการค้าปลีก ค้าส่ง เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ น้ำดื่มและเครื่องดื่มทุกชนิด
โดยณเดชน์ นั่งเป็นกรรมการร่วมกับ นายสุธี ก่อกูลเกียรติ, นายสร้างบุญ แสงมณี และ นายชนาธิป สรงกระสินธ์ นักฟุตบอลทีมชาติไทย ส่วนการถือหุ้นนั้น ทั้ง 4 คน ถือหุ้นในสัดส่วนเท่า ๆ กัน 25% จำนวน 5,000 หุ้น
2.บริษัท สามมหัศจรรย์ จำกัด จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2565 ด้วยทุนจดทะเบียน 1.5 ล้านบาท ดำเนินกิจการให้บริการดูแลรักษา และซ่อมแซมเครื่องหนังประเภทรองเท้า กระเป๋า และเครื่องแต่งกายสำเร็จรูป โดยณเดชน์ นั่งเป็นกรรมการร่วมกับ นายคงเดช สิทธิสุพร, นายเจตนิพัทธ์ ผ่องศรีเพชร และ นายปริญ สุภารัตน์
ขณะที่บริษัทที่ ณเดชน์ ถือหุ้นนั้น พบว่ามีด้วยกัน 4 แห่ง นั่นคือ
1.บริษัท จีพีเอส เฟรซ สปอร์ต (ไทยแลนด์) จำกัด ดำเนินธุรกิจนำเข้าและจำหน่ายอุปกรณ์ส่งเสริมศักยภาพทางกีฬา โดยถือหุ้นอันดับที่ 1 จำนวนหุ้น 9,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 45% งบการเงินนำส่งล่าสุดปี 2564 สินทรัพย์รวม 2,425,456 บาท หนี้สินรวม 825,954 บาท รายได้รวม 885,788 บาท รายจ่ายรวม 1,169,134 บาท ขาดทุนสุทธิ 283,346 บาท
2. บริษัท สตาร์วัน เอ็นเตอร์เทนเม้นต์ จำกัด ดำเนินธุรกิจจำหน่ายเครื่องสำอางค์ เครื่องหอม โดยถือหุ้นอันดับที่ 2 จำนวนหุ้น 1,500 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 15% งบการเงินนำส่งล่าสุดปี 2565 สินทรัพย์รวม 693,406 บาท หนี้สินรวม 16,730 บาท รายได้รวม 452,563 บาท รายจ่ายรวม 1,101,191 บาท ขาดทุนสุทธิ 648,627 บาท
3. บริษัท ณอร์ตาร์ เวลตี้ จำกัด ประกอบกิจการค้าปลีก ค้าส่ง เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ น้ำดื่มและเครื่องดื่มทุกชนิด โดยถือหุ้นอันดับที่ 2 จำนวนหุ้น : 5,000หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 25%
4. บริษัท สามมหัศจรรย์ จำกัด ดำเนินกิจการให้บริการดูแลรักษา และซ่อมแซมเครื่องหนังประเภทรองเท้า กระเป๋า และเครื่องแต่งกายสำเร็จรูป โดยถือหุ้นอันดับที่ 1 จำนวนหุ้น 3,500 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 23.33%
ธุรกิจนางเอกสาว “ญาญ่า อุรัสยา เสปอร์บันด์”
จากการตรวจสอบข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า การทำธุรกิจของนางเอกสาว “ญาญ่า อุรัสยา เสปอร์บันด์” พบว่า มีชื่อเป็นกรรมการอย่างน้อย 1 บริษัท คือ บริษัท ทูมอร์โร่ มีเดีย จำกัด จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2556 ด้วยทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท ประกอบธุรกิจรับจ้างผลิตภาพยนตร์ จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2556 ด้วยทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท โดยญาญ่า เป็นกรรมการร่วมกับ นางสาวเสาวนีย์ เดือนเด่น
งบการเงินนำส่งล่าสุดปี 2565 สินทรัพย์รวม 20,924,007 บาท หนี้สินรวม 2,032,091 บาท รายได้รวม 40,355,769 บาท รายจ่ายรวม 23,061,941 บาท กำไรสุทธิ 13,833,012 บาท
ส่วนการถือหุ้นของ นางเอกสาว “ญาญ่า อุรัสยา เสปอร์บันด์” มีด้วยกันอย่างน้อย 2 แห่ง ดังนี้
1.บริษัท ทูมอร์โร่ มีเดีย จำกัด โดยญาญ่าถือหุ้น อันดับที่ 1 จำนวนหุ้น 8,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 80%
2. บริษัท อุรัสยา แมเนจเมนท์ จำกัด ประกอบธุรกิจให้บริการจัดหานักแสดง โดยญาญ่าถือหุ้นอันดับที่ 1 จำนวนหุ้น 5,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 50% งบการเงินนำส่งล่าสุดปี 2565 สินทรัพย์รวม 36,326,789 บาท หนี้สินรวม 4,170,098 บาท รายได้รวม 85,491,075 บาท รายจ่ายรวม 53,954,968 บาท กำไรสุทธิ 25,165,992 บาท