กรณีค่ายรถยนต์รายใหญ่ของญี่ปุ่น “อีซูซุมอเตอร์” มีแผนจะย้ายการผลิตรถยนต์ จากโรงงานแห่งหนึ่งในประเทศไทย ไปยังประเทศอินโดนีเซีย โดยจะเริ่มการผลิตอย่างเร็วที่สุดในปี 2567 นั้น ล่าสุด ฐานเศรษฐกิจ ได้สอบถามข้อเท็จจริงเรื่องนี้ไปยัง นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ระบุว่า
กรณีข่าวการย้ายฐานการผลิตของ บริษัท อีซูซุมอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด นั้น บีโอไอกำลังอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อมูลที่ชัดเจนไปยังบริษัทแม่ของอีซูซุมอเตอร์ว่า กรณีนี้เป็นจริงหรือไม่อย่างไร แต่ ณ ปัจจุบันยังบริษัทในไทยยังไม่ทราบเรื่องดังกล่าว
“ตอนนี้ต้องรอเช็คข้อมูลให้แน่ใจก่อนว่าเป็นอย่างไร เพราะทางอีซูซุในไทยก็ยังไม่ทราบเรื่อง และคงต้องสอบถามไปยังบริษัทแม่ว่าเกิดอะไรขึ้น และหากมีความคืบหน้าจะแจ้งข้อมูลมาอีกครั้ง” นายนฤตม์ ระบุ
เลขาธิการ บีโอไอ ยอมรับว่า ปัจจุบันบริษัท อีซูซุมอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ยังลงทุนผลิตรถยนต์ในประเทศไทย และที่ผ่านมาก็ได้รับสิทธิประโยชน์ในด้านการส่งเสริมการลงทุนจากรัฐบาลได้ไปแล้ว โดยเฉพาะสิทธิประโยชน์การลงทุนเกี่ยวกับการผลิตรถยนต์บรรทุกและรถยนต์กระบะในประเทศไทย
สำหรับกรณีกระแสข่าวการย้ายการลงทุนของ “อีซูซุมอเตอร์” ที่ผ่านมา สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานอ้างอิงแถลงการณ์จากกระทรวงอุตสาหกรรมอินโดนีเซีย ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2566 โดย นายอากัส กูมิวัง คาร์ตาซัสมิตา รัฐมนตรีอุตสาหกรรมอินโดนีเซีย ได้แถลงข่าวภายหลังพบหารือกับคณะผู้บริหารของบริษัทอีซูซุที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อ 6 มิถุนายน 2566 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ รัฐมนตรีอุตสาหกรรมอินโดนีเซีย ระบุว่า บริษัท อีซูซุ มอเตอร์ ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของญี่ปุ่น มีแผนจะโยกย้ายการผลิตรถยนต์บางส่วนจากโรงงานแห่งหนึ่งในประเทศไทย ไปยังอินโดนีเซีย โดยจะเริ่มการผลิตอย่างเร็วที่สุดในปีหน้า ซึ่งอินโดนีเซียยินดีกับการตัดสินใจดังกล่าว และจะมอบสิทธิประโยชน์พร้อมให้การสนับสนุนการย้ายฐานการผลิต
ปัจจุบัน บริษัท อีซูซุมอเตอร์ มีโรงงานผลิตรถยนต์ 2 แห่งในประเทศไทย ที่จังหวัดสมุทรปราการและฉะเชิงเทรา โดยมีกำลังการผลิตรถยนต์รวมกัน 385,000 คันต่อปี และมีการจ้างงานพนักงานประมาณ 6,000 คน ส่วนในอินโดนีเซีย อีซูซุมีโรงงานผลิตรถยนต์ 1 แห่งที่เมืองคาราวัง
รายงานข่าวระบุด้วยว่า ปัจจุบันอินโดนีเซียเป็นฐานการผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นหลายค่าย อาทิ ฮอนด้า มิตซูบิชิ ซูซูกิ และอินโดนีเซียกำลังผลักดันตนเองให้ก้าวสู่การเป็นฐานการผลิตแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า เนื่องจากมีวัตถุดิบในด้านดังกล่าวจำนวนมาก