นายสุเทพ ทิมศิลป์ ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจยาสูบ เปิดเผยถึงความรุนแรงของสถานการณ์บุหรี่เถื่อน ตามข้อมูลการสำรวจซองบุหรี่เปล่าของอุตสาหกรรมในไตรมาสที่ 2 ปี 2566 ที่ได้มีการเปิดเผยไปก่อนหน้านี้ พบว่า สัดส่วนการบริโภคบุหรี่เถื่อนในไทยพุ่งสูงถึง 22.3%
โดยเป็นบุหรี่หนีภาษียี่ห้อที่ไม่มีการค้าขายในไทยเกือบทั้งหมด ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดในการสำรวจในช่วง 12 ปีที่ผ่านมา หรือคิดเป็นกว่า 1 ใน 4 ของการบริโภคบุหรี่ในประเทศแล้ว ตนอยู่ในอุตสาหกรรมนี้มากว่าครึ่งชีวิต ก่อนการปรับขึ้นภาษีในปี 2560 ตัวเลขบุหรี่เถื่อนอยู่ที่ไม่เกิน 3%
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาเคยตกใจกับตัวเลข 6% ในปี 2561 แต่ก็เทียบไม่ได้เลยกับข้อมูลล่าสุดของปีนี้ที่บุหรี่เติบโตอย่างรวดเร็วจากการปรับขึ้นภาษีในปี 2564 ที่ดูแล้วมีแต่จะพุ่งไปต่อหากไม่มีการแก้ไขเชิงนโยบายจากภาครัฐอย่างจริงจัง และผู้ที่ได้รับผลกระทบคงหนีไม่พ้นชาวไร่ยาสูบและแรงงานในภาคส่วนต่างๆ ที่เป็นต้นน้ำของอุตสาหกรรมนี้
นายสุเทพ กล่าวอีกว่า ปีนี้ปัญหาที่เกิดขึ้นรุนแรงกว่าเดิมมาก เพราะนอกจากจังหวัดในภาคใต้ที่เราคุ้นเคยอย่างสตูล พัทลุง และสงขลา ที่พบบุหรี่เถื่อนกว่า 90% ของการสูบบุหรี่ทั้งหมดในจังหวัด มากที่สุดในประเทศแล้ว บุหรี่หนีภาษียังขยายตัวสูงขึ้นมากในพื้นที่นอกภาคใต้อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เช่น นนทบุรี กรุงเทพฯ และสมุทรปราการ ที่มีสัดส่วนบุหรี่ผิดกฎหมายสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์เติบโตถึง 875% ,112% และ 157%
"จากสถานการณ์ดังกล่าวทำให้สงสัยว่าเพราะเหตุใดจังหวัดใหญ่ศูนย์กลางทางเศรษฐกิจเหล่านี้จึงกลายเป็นศูนย์กลางของบุหรี่เถื่อนนอกภาคใต้ได้ ชัดเจนว่าปัญหาบุหรี่เถื่อนทวีความรุนแรงจากการเป็นปัญหาระดับภูมิภาคสู่ปัญหาระดับชาติที่เป็นภัยคุกคามทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสุขภาพอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้"
นายสุเทพ กล่าวอีกว่า ในฐานะพนักงานคนหนึ่งและเป็นตัวแทนพนักงานเกือบ 2,400 คนของการยาสูบแห่งประเทศไทย ต้องการให้รัฐบาลใหม่เอาจริงเอาจังกับการปราบปรามและทลายวงจรบุหรี่เถื่อนทั่วประเทศ ตลอดจนเร่งปราบปรามกลุ่มมาเฟียและผู้มีอิทธิพลเบื้องหลัง
รวมทั้งขอให้รัฐบาลหยิบยกปัญหาบุหรี่เถื่อนขึ้นมาเป็นวาระแห่งชาติ เร่งพูดคุยหารือกับประเทศเพื่อนบ้าน ที่เป็นแหล่งกำเนิดเพื่อต่อต้านภัยคุกคามจากการนำเข้าบุหรี่หนีภาษีที่บ่อนทำลายระบบเศรษฐกิจ ทำให้รัฐสูญเสียรายได้ จากการจัดเก็บภาษีกว่า 2 หมื่นล้านบาท การเร่งลงมือทลายวงจรบุหรี่เถื่อนนี้จะช่วยเหลือการยาสูบแห่งประเทศไทยได้ทันที เพราะตัวเลขบุหรี่เถื่อนที่สูงสุดตั้งแต่มีการสำรวจมานี้มาพร้อมกับผลกระทบต่อผลประกอบการของการยาสูบฯ ที่มากขึ้นกว่าที่เคยเห็นมา
โดยปี 2565 ที่ผ่านมา หน่วยงานมียอดขายเพียง 13,322 ล้านมวน ลดลง 9% จนส่งผลให้ผลการดำเนินงานย่ำแย่ มีกำไรสุทธิเพียง 120 ล้านบาทเท่านั้น และเงินที่นำส่งรัฐก็เหลือเพียง 3.9 หมื่นล้านบาท ลดลงจากปีก่อนหน้า 8 พันล้านบาท เพราะยอดขายต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้ถึง 25% หากเป็นเช่นนี้ต่อไปกิจการของการยาสูบฯ คงไม่มีวันฟื้นกลับมา
และส่งผลถึงความมั่นคงในอาชีพของพนักงานทุกคน ชาวไร่ยาสูบที่พึ่งพาโควตาการปลูกจากการยาสูบฯ กว่า 3 หมื่นครอบครัว รวมถึงร้านค้าถูกกฎหมายหลายแสนร้านค้าที่ทุกวันนี้ต้องแข่งขันกับบุหรี่เถื่อนที่ขายในทุกช่องทางอย่างเปิดเผย ไม่เกรงกลัวการบังคับใช้กฎหมายจากหน่วยงานภาครัฐ