สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 3.23 ดอลลาร์ หรือ 3.78% ปิดที่ 82.31 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 3.03 ดอลลาร์ หรือ 3.35% ปิดที่ 87.45 ดอลลาร์/บาร์เรล
ฟิล ไฟน์ นักวิเคราะห์จากบริษัท Price Futures Group กล่าวว่า เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ราคาน้ำมัน WTI พุ่งขึ้นเกือบ 3% หลังจากอิสราเอลเริ่มใช้ปฏิบัติการโจมตีทางภาคพื้นดินในฉนวนกาซา ซึ่งทำให้ตลาดวิตกกังวลว่าความขัดแย้งครั้งนี้อาจจะลุกลามในตะวันออกกลางซึ่งเป็นภูมิภาคที่ผลิตน้ำมันในอัตราส่วน 1 ใน 3 ของผลผลิตน้ำมันทั่วโลก แต่ขณะนี้นักลงทุนประเมินสถานการณ์ว่า ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาสอาจจะไม่ส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมันในตะวันออกกลาง
ทั้งนี้ อิสราเอลประกาศทำสงครามเฟส 2 กวาดล้างกลุ่มฮามาส โดยเคลื่อนกำลังพลและรถถังเข้าโจมตีพื้นที่ตอนเหนือของฉนวนกาซาเมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นการโจมตีต่อเนื่องหลังจากเปิดฉากปฏิบัติการภาคพื้นดินในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ผู้นำอิหร่านเตือนว่าการโจมตีของอิสราเอลในฉนวนกาซาถือเป็นการล้ำเส้นแดง และอาจทำให้ทุกฝ่ายออกมาเคลื่อนไหว
นักวิเคราะห์ของแบงก์ ออฟ อเมริกาได้ประเมินผลกระทบของสงครามออกเป็น 3 ฉากทัศน์ โดยระบุว่า หากสงครามระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาสทำให้เกิดการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน และทำให้การขนส่งน้ำมันหยุดชะงักลง เหตุการณ์ดังกล่าวจะทำให้ราคาน้ำมันพุ่งเหนือระดับ 130 ดอลลาร์/บาร์เรล
และหากสงครามมีการขยายตัวจนทำให้การขนส่งน้ำมันลดลง 2 ล้านบาร์เรล/วัน ราคาน้ำมันก็จะพุ่งสูงกว่าระดับ 150 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนในกรณีเลวร้ายที่สุดนั้น หากสหรัฐทำการโจมตีอิหร่านเพื่อตอบโต้ต่อการให้ความช่วยเหลือต่อกลุ่มฮามาส และทำให้อิหร่านปิดกั้นช่องแคบฮอร์มุซ เหตุการณ์ดังกล่าวจะทำให้ราคาน้ำมันพุ่งทะลุ 250 ดอลลาร์/บาร์เรล
นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของเฟดในวันที่ 31 ต.ค. - 1 พ.ย. และรอดูแถลงการณ์หลังการประชุมของนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยในอนาคต