หลังจาก "บริษัท โรงงานเหล็กกรุงเทพฯ จำกัด (บลกท.)" ออกประกาศเมื่อวันที่ 22 พ.ย. 2566 เรื่อง การเลิกจ้างพนักงาน วันที่ 22 พฤศจิกายน 2566 โดยระบุเหตุผลว่า
เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อุตสาหกรรมเหล็ก ซึ่งมีผลกระทบต่อบริษัทฯ มาโดยตลอดตามระยะเวลาที่ผ่านมาหลายปี บริษัทฯประสบปัญหาขาดทุนสะสมมาโดยตลอด อีกทั้งบริษัทฯ ได้พยายามหาทางออกเพื่อหลีกเลี่ยงการเลิกจ้างพนักงาน แต่ผลการดำเนินงานยังคงประสบภาวะขาดทุนตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
ดังนั้นบริษัทฯมีความจำเป็นที่ต้องเลิกจ้างพนักงานทุกท่าน ทั้งนี้พนักงาน ที่ถูกเลิกจ้างจะได้รับค่าชดเชยตามกฎหมาย จะมีผลตั้งแต่วันที่ 28 ธันวาคม 2566
ฐานเศรษฐกิจ ตรวจสอบข้อมูลพบว่า บริษัท โรงงานเหล็กกรุงเทพฯ จำกัด (บลกท.) ผู้ผลิตเหล็กแท่ง(Billet) และจำหน่ายเหล็กรายใหญ่ของไทย ในจังหวัดสมุทรปราการ อายุกว่า 59 ปี
เป็นบริษัทในเครือ ฉื่อ จิ้น ฮั้ว ของตระกูล “พิจิตรพงศ์ชัย” ผู้ผลิต "เครื่องครัวตราจระเข้" และโรงงานผลิตอะลูมิเนียมแผ่น ประกาศเลิกจ้างพนักงานทั้งหมด 382 คน เนื่องจากประสบภาวะขาดทุนมาอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงกันอย่างขว้างขวาง
เมื่อตรวจสอบงบข้อมูลการจดทะเบียนบริษัท และงบการเงินที่บริษัทแจ้งต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ผ่านระบบ Creden Data พบว่า บริษัท โรงงานเหล็กกรุงเทพฯ จำกัด จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2507 ทุนจดทะเบียน 4,908 ล้านบาท ตั้งอยู่เลขที่ 42 หมู่ 4 ถนนสุขสวัสดิ์ ตำบลบางครุ อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ
บริษัท โรงงานเหล็กกรุงเทพฯ จำกัด มีนายภูริพัฒน์ พิจิตรพงศ์ชัย เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 74.59% รองลงมาได้แก่นายอำนวย พิจิตรพงศ์ชัย 13.41 % บริษัท ฉื่อจิ้นฮั้ว 9.64 % บริษัท ไทยเอเซียสตีลไพพ์ จำกัด 1.94 % กฤชฐารวี พิจิตรพงศ์ชัย 0.19 % ธัญวรัตน์ พิจิตรพงศ์ชัย 0.19 % บริษัท อลูมิเนียมฉื้อจิ้นฮั้ว 0.02 % บริษัท เฟิสท์ฉื่อจิ้นฮั้ว 0.02 %
เมื่อตรวจสอบงบการเงินที่ บริษัท โรงงานเหล็กกรุงเทพฯ กระทรวงพาณิชย์ แจ้งต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า จำกัด กระทรวง ผ่านระบบ Creden Data พบว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2561-2565 บริษัทมีผลการดำเนินงานขาดทุนอย่างหนักรวมกว่า 2,501.18 ล้านบาท ดังนี้
เมื่อเจาะลึกในงบการเงินตั้งแต่ปี 2561-2565 บริษัท โรงงานเหล็กกรุงเทพฯ มีรายได้รวม 28,516.05 ล้านบาท ขณะที่รายจ่ายรวมอยู่ที่ 30,767.70 ล้านบาท โดยจ่ายจ่ายส่วนใหญ่มาจากต้นทุนขาย 29,904.52 ล้านบาท ดังนี้