นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคระรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 2 ม.ค.67 มีมติเห็นชอบมาตรการส่งเสริมประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวและการใช้จ่าย เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์การเป็นศูนย์กลางของการท่องเที่ยวและกระตุ้นเพิ่มการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติและชาวไทย
ประกอบด้วย 2 มาตรการหลัก ได้แก่ การปรับปรุงโครงสร้างภาษีสรรพสามิตสำหรับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และลดภาษีสถานบันเทิง โดยมีการเพิ่มพิกัดภาษีใหม่
นอกจากนี้ ได้ปรับปรุงภาษีให้เก็บอัตราเดียว เพื่อสอดคล้องกับมาตรฐานสากล ได้แก่
ขณะเดียวกัน ได้ปรับปรุงภาษีสถานบริการ ซึ่งประกอบกิจการบันเทิงหรือหย่อนใจ เช่น ไนต์คลับ ดิสโกเธค ผับ บาร์ จากภาษีอัตรา 10% ของรายรับ ลดเหลือ 5% มีกำหนดระยะเวลา 1 ปี สิ้นสุดถึง 31 ธ.ค. 67 เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากโควิดกลับมาฟื้นตัวอีกครั้งและส่งเสริมการท่องเที่ยวให้สอดคล้องกับนโยบายภาครัฐ
นายลวรณกล่าวว่า ครม. ยังได้เห็นชอบปรับปรุงโครงสร้างภาษีนำเข้าสินค้าไวน์ โดยยกเว้นอากรขาเข้าสินค้าไวน์ในประเภทพิกัด 22.04 และ 22.05 รวม 21 รายการ จากเดิม 54-60% ให้เหลือ 0% ทั้งหมด เพื่อต้องการขยายฐานการบริโภคและลดการลักลอบหลีกเลี่ยง
ซึ่งการลดภาษีดังกล่าว จะทำให้กรมศุลกากร มีรายได้ลดลง 451 ล้านบาท แต่จะช่วยให้ไทยมีโอกาสเป็นศูนย์กลางไวน์ได้ในอนาคต ที่สำคัญขณะนี้ไทยกำลังมีการเจรจา FTA กับสหภาพยุโรป ซึ่งจะต้องมีการลดภาษีเหลือ 0% อยู่แล้วในอนาคต
“การปรับปรุงโครงสร้างภาษีสรรพสามิตและศุลกากรครั้งนี้ จะเร่งให้มีผลบังคับใช้ในเดือนม.ค.67 จะช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวและการใช้จ่าย และไม่กระทบต่อภาพรวมของการเก็บภาษี โดยจะทำให้การจัดเก็บรายได้ภาษีสรรพสามิตและภาษีศุลกากรเพิ่มขึ้นสุทธิ 401ล้านบาทต่อปี และจีดีพีขยายตัวเพิ่มขึ้น 0.0073% เทียบกับกรณีไม่มีมาตรการ และการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้น 2,900 ล้านบาท”
นอกจากนี้ ภาครัฐยังจะสามารถจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีเงินได้นิติบุคคลได้เพิ่มเติมในอนาคตจากการเพิ่มขึ้นของการจับจ่ายใช้สอยและการเพิ่มขึ้นของรายได้ของผู้ประกอบธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น ร้านค้า ร้านอาหาร ภัตตาคาร ธุรกิจบริการ สถานบันเทิง โรงแรมที่พัก ผู้ให้บริการขนส่ง สายการบินเป็นต้น และส่งผลให้มีการลงทุนขยายกิจการและการจ้างงานเพิ่มขึ้นต่อไปส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ดีขึ้น
ส่วนเรื่องการยกเลิกดิวตี้ฟรีขาเข้านั้น ปัจจุบันมีผู้ประกอบการที่ได้รับใบอนุญาต 3 ราย ซึ่งกระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะมีการหารือร่วมกัน เพื่อสรุปแนวทางในการดำเนินการอีกครั้ง อย่างไรก็ดี การที่หารือกันในเบื้องต้นก็ได้ข้อสรุปกันด้วยดี