นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังการเดินทางมาตรวจราชการในพื้นที่ จ.ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ และมหาสารคาม เพื่อติดตามความคืบหน้าโครงการสำคัญของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม ว่า ได้ดำเนินการสั่งการให้หน่วยงานในสังกัดเร่งพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐาน เส้นทางคมนาคมขนส่งให้ประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุดในการขนส่งสินค้า การเดินทาง และการท่องเที่ยวตามนโยบายของรัฐบาล
โดยได้กำชับให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ มุ่งเน้นการดูแลบริการประชาชนด้านการคมนาคมเป็นหัวใจสำคัญ รวมถึงเส้นทางคมนาคมจากเมืองสู่ชุมชนให้สะดวกปลอดภัย และมีความมั่นใจว่าในวาระรัฐบาลชุดนี้ กระทรวงคมนาคมจะพัฒนาการคมนาคมขนส่งกระตุ้นเศรษฐกิจ การค้า และการท่องเที่ยวได้มากที่สุด จึงได้เร่งผลักดันการดำเนินโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมและโครงการพัฒนาโครงข่ายสำคัญในพื้นที่กลุ่มจังหวัดอย่างต่อเนื่อง
สำหรับโครงการสำคัญที่อยู่ระหว่างดำเนินการ ประกอบด้วย
ส่วนแผนการพัฒนาโครงข่ายทางหลวง จ.มหาสารคามเร่งด่วน ได้แก่
ทั้งนี้ ในภาพรวมกระทรวงคมนาคมมีนโยบายส่งเสริมและพัฒนาระบบโครงข่ายถนนให้ครอบคลุมความต้องการของประชาชนทั่วประเทศ โดยถนนต้องช่วยลดระยะเวลาในการเดินทางจากต้นทางถึงปลายทาง ลดต้นทุนการขนส่ง และมีโครงข่ายที่ส่งเสริมต่อภาคการเกษตร การท่องเที่ยว การค้าการลงทุน และแหล่งอุตสาหกรรม สามารถบูรณาการร่วมกับระบบขนส่งได้ในทุกมิติ เป็นการอำนวยความสะดวกปลอดภัยให้กับประชาชนในทุกพื้นที่ได้ใช้งานอย่างสมบูรณ์และเข้าถึงได้
นายสุิริยะ ยังได้ลงพื้นที่ติดตามการแก้ไขปัญหาตลิ่งริมแม่น้ำชีทรุดตัว บริเวณ ทล. 213 (ตู้ยามบ้านดินดำ) เนื่องจากผลกระทบจากอุทกภัย โดยแนวทางการแก้ไขปัญหาได้ก่อสร้างโครงสร้างป้องกันตลิ่งส่วนล่างด้วยคันหินยาแนว ก่อสร้างกำแพงกันดินคอนกรีตเสริมเหล็กสูง 6 เมตร ฐานรากชนิดเข็มต่อตามแบบมาตรฐานกรมทางหลวง รวมถึงขยายช่องจราจรมีทางเดินเท้าด้านบนและระบบระบายน้ำไปด้วย
ที่ผ่านมาในช่วงเดือนสิงหาคม - กันยายน 2566 มีท่อส่งน้ำขนาดใหญ่ของการประปาส่วนภูมิภาคในแนวเขตก่อสร้าง และในช่วงเดือนกันยายน - พฤศจิกายน 2566 ได้รับผลกระทบจากการระบายน้ำของเขื่อนอุบลรัตน์ จ.ขอนแก่น ทำให้มีปริมาณน้ำในแม่น้ำชีมีระดับสูงขึ้นกว่าระดับตอกเสาเข็ม จึงไม่สามารถนำเครื่องจักรเข้าพื้นที่ก่อสร้างได้
แต่ขณะนี้สามารถดำเนินการได้ตามปกติแล้ว จึงได้เร่งดำเนินการและคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ซึ่งเมื่อแล้วเสร็จจะช่วยแก้ไขปัญหาอุทกภัยอย่างยั่งยืน เพิ่มความมั่นคงแข็งแรงของโครงสร้างทางหลวง แก้ไขปัญหาการจราจรบนถนนเส้นนี้ให้ประชาชนเดินทางได้อย่างปลอดภัยสะดวกรวดเร็วมากขึ้น