นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ ดีอี เปิดเผยว่า ได้ร่วมหารือแนวทางการแก้ไขปัญหามิจฉาชีพปลอมแปลงเฟซบุ๊กของเพจผู้ประกอบการร้านทองหลอกหลวงผู้บริโภค ร่วมกับนาย จิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ และคณะผู้แทนจากสมาคมค้าทองคำ มูลค่าความเสียหายจำนวนมาก ทางสมาคมค้าทองคำได้รับการร้องเรียนจากผู้ประกอบการและผู้บริโภคเป็นจำนวนมาก ว่าขณะนี้มีมิจฉาชีพปลอมแปลงเฟซบุ๊กเพจร้านค้าทองคำที่มีชื่อเสียงและเป็นสมาชิก สมาคมค้าทองคำทำการเผยแพร่โฆษณาชักชวนหลอกให้มีการลงทุน และอ้างว่ามีการ จ่ายเงินปันผลทุกวัน หรือให้ผลประโยชน์เกินจริงเพื่อจูงใจให้หลงเชื่อ ส่งผลให้เกิดความเสียหายกับประชาชนผู้บริโภคจำนวนมาก
อีกทั้งยังกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีต่อผู้ประกอบธุรกิจค้าทองคำ ซึ่งถือเป็นอาชญากรรมทางเศรษฐกิจของประเทศมิจฉาชีพใช้ช่องโหว่ ในการใช้ช่องทางโซเชียลมีเดียในการหลอกลวงให้นักลงทุน ลงทุนซื้อทองคำออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มปลอม ทำให้นักลงทุนได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก
“ผมหวังว่าการหารือในวันนี้จะเป็นโอกาสสำหรับกระทรวงดีอี และ สมาคมค้าทองคำ ในการหารือแนวทางการแก้ไขปัญหามิจฉาชีพปลอมแปลงเฟซบุ๊กของเพจผู้ประกอบการร้านทอง” นายประเสริฐฯ กล่าวทั้งนี้นับตั้งแต่เดือนมกราคม 2566 ถึงเดือน 2567 กระทรวงดีอี ได้ดำเนินการปิดโฆษณาที่เกี่ยวข้องกับ Online Scams บนแพลตฟอร์มสังคมออนไลน์ไปแล้วกว่า 30,000 URLs และปิดกั้นเว็บไซต์โดยมีคำสั่งศาล กว่า 1,400 URLs” นายประเสริฐฯ กล่าว
ด้าน นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ กล่าวว่าปัจจุบันประชาชนเปลี่ยนจากการเก็บออม เป็นการลงทุนเพื่อการเก็งกำไรในทองคำเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งมีวิธีการลงทุนที่หลากหลาย ทั้งการซื้อขายทองผ่านหน้าร้านทอง การลงทุนทองออนไลน์ รวมถึงการลงทุนทองคำในตลาดซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) อาจเป็นช่องทางหนึ่งที่มิจฉาชีพ ต่างอาศัยชื่อเสียงและความเชื่อมั่น ของผู้บริโภคที่มีต่อร้านค้าทองคำ นำมาหลอกลวงประชาชนให้หลงเชื่อ และเกิดความเสียหาย โดยตัวอย่างของสมาชิกสมาคมที่ได้รับผลกระทบ อาทิ จินฮั้วเฮง, YLG, ออโรร่า ซึ่งได้สร้างความเสียหาย ต่อภาพลักษณ์และชื่อเสียงต่อองค์กรโดยรวม ส่งผลลทำให้ลูกค้าเกิดความสับสน ไม่แน่ใจ ขาดความน่าเชื่อถือและความเชื่อมั่นของบริษัทฯ ทางสมาคมฯ ขอเสนอแนะให้มีขั้นตอนการปิดเพจปลอม โดยส่งข้อมูลยืนยันว่าเป็น เพจปลอมจริง และแจ้งไปยังสมาคมค้าทองคำ เพื่อประสานงานในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำการปิดเพจปลอมนั้นต่อไป
โดยที่ผ่านมา ในปี 2566-2567 มิจฉาชีพมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบเป็นการสร้าง Facebook และ TikTok ปลอมแทน โดยยกตัวอย่าง บจ.ฮั่วเซ่งเฮง มีการตรวจพบครั้งแรกในช่วง เดือนกันยายน 2566 ซึ่งจนถึงปัจจุบัน บริษัทฯ มีการเก็บข้อมูลการปลอมทั้ง 2 ช่องทางรวมกันทั้งสิ้น 40 บัญชี ดังนี้
1. Facebook : จำนวน 14 บัญชี
2. TikTok : จำนวน 26 บัญชี
โดยบริษัทฯ ได้รับการร้องเรียนจากผู้เสียหายผ่านช่องทางต่างๆ จำนวน 44 เคส ความเสียหายโดยรวมประมาณ 20.8 ล้านบาท และความเสียหายของ บจ.ออโรร่า มีผู้เสียหายรวมถึง ลูกค้าของบริษัทฯ เป็นจำนวนมาก โดยมีจำนวนผู้เสียหาย ที่ติดต่อเข้ามากับฝ่ายกฎหมายประมาณ 150 คน ค่าเสียหายโดยรวมประมาณ 60 ล้าน
“มิจฉาชีพจะใช้วิธีหลอกลวงผ่านรูปแบบตามกระแสนิยมในแต่ละช่วง เช่นในปี 2565 จะเป็นเรื่องของการลงทุนใน Forex และ Crypto currency ส่วนในปี 2566 จะเป็นเรื่องของการลงทุนหรือการออมแบบ Passive Income เป็นต้น ซึ่งเราสามารถสังเกตสัญญาณเพื่อเตรียมป้องกันได้จากกระแสความสนใจในเรื่องการลงทุนที่มี การเปลี่ยนไปของประชาชน ทางสมาคมขอความร่วมมือกับกระทรวงดีอี ในการป้องกันและปราบปรามปัญหาที่เกิดขึ้นเพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด”นายจิตติฯ กล่าว