นายสิทธิชัย แดงประเสริฐ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมสมุนไพรคนใหม่ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยถึงนโยบายผลักดันสมุนไพรเป็น ซอฟท์พาวเวอร์ไทย ว่า ภายหลังเข้ารับตำแหน่งมีนโยบายที่ต้องการให้สมุนไพรไทยเป็นซอฟท์พาวเวอร์ที่มีมาตรฐานใหม่ที่ทั่วโลกยอมรับ เพิ่มรายได้การส่งออกของไทย
โดยต้องการให้ คณะกรรมการพัฒนาซอฟท์พาวเวอร์แห่งชาติ สาขาอาหาร พิจารณาสมุนไพรไทย เป็นวาระหลักในการสนับสนุนเช่นเดียวกับกลุ่มอาหาร เพราะสมุนไพรไทยหลายชนิดเป็นวัตดุดิบหลักในการประกอบการอาหาร
และปัจจุบันกระจายอยู่ทั่วโลก เพียงแต่ยังไม่ได้รับการส่งเสริมอย่างจริงจัง ทำให้มูลค่าส่งออกไม่มาก เพราะบางส่วนรวมในกลุ่มอาหาร ขณะที่กลุ่มสมุนไพรตรงยังขาดเรื่องมาตรฐานที่ทั่วโลกยอมรับ จึงกระทบต่อการส่งออก
อย่างไรก็ดี ภายในเดือนมีนาคมนี้จะเร่งหารือกับนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานส.อ.ท. เสนอแนวทางทั้งหมด เพื่อให้ประธานส.อ.ท.นำเสนอรัฐบาลและคณะกรรมการพัฒนาซอฟท์พาวเวอร์แห่งชาติต่อไป โดยปัจจุบันกลุ่มอุตสาหกรรมสมุนไพร มีสมาชิกกว่า 70 ราย เป็นผู้เล่นสำคัญในตลาดสมุนไพร แต่มีผู้ผลิตทั่วประเทศกว่า 1,000 ราย กระจายในสมาคมและกลุ่มต่างๆ ซึ่งกลุ่มสมุนไพรหารือร่วมกันตลอด
ทั้งนี้ เชื่อว่าหากเดินหน้าผลักดันสมุนไพรไทยเป็นซอฟท์พาวเวอร์ จะสร้างโอกาสให้กับทุกภาคส่วนในอุตสาหกรรมสมุนไพร อาทิ เกษตรกรผู้ปลูกที่จะมีรายได้เพิ่มมากขึ้นและยั่งยืนขึ้น เศรษฐกิจฐานรากเข้มแข็ง เป็นกำลังสำคัญขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยสมุนไพรไทยมีศักยภาพสูงในตลาดโลก เพราะมีความหลากหลายของสายพันธุ์ และภูมิปัญญาท้องถิ่นที่เข้มแข็ง
จากข้อมูลตลาดผลิตภัณฑ์สมุนไพรทั่วโลก ปัจจุบันมีมูลค่า 60,165.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 2.1 ล้านล้านบาท และคาดการณ์ปี 2573 ทะลุ 2.7 ล้านล้านบาท ตลาดหลักอยู่ในภูมิภาคเอเชียถึง 57.6 % อเมริกา 22.1 % ยุโรป 22.1 % ยุโรป 18 % ตะวันออกกลาง 1.5% ออสเตรเลีย 0.9%
ขณะที่ไทยส่งออกพืชสมุนไพร ปี 2566 ประมาณ 488,970 ล้านบาท เป็นผู้นำการส่งออกสมุนไพรอันดับ 1 ของอาเซียน แต่ในตลาดโลกยังไม่ติด 1 ใน 10 เนื่องจากยังมีข้อจำกัดด้านมาตรฐานการผลิต จำเป็นต้องให้หน่วยงานเข้าแก้ปัญหา และสนับสนุนโดยด่วน
นายสิทธิชัย กล่าวอีกว่า จากศักยภาพของไทยมีโอกาสที่สามารถทำได้แต่ต้องได้ความช่วยเหลือจากภาครัฐ ประกอบด้วย
อย่างไรก็ตาม กลุ่มอุตสาหกรรมสมุนไพรยังมีกำหนดกลยุทธ์ในการยกระดับสมุนไพรไทยผ่าน Economy Sharing ด้วยการร่วมมือระหว่างรัฐ-เอกชน มุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง เช่น การสนับสนุนผู้ประกอบการรายเล็กเข้าถึงการวิจัยร่วมกับสถาบันการศึกษา และสร้างพันธมิตรเพื่อรวมกลุ่มเข้าถึงโรงงานการผลิตขนาดใหญ่ได้มาตรฐานสากล เนื่องจากปัจจุบันการส่งออกสมุนไพรไทยยังมีข้อจำกัดจากบางประเทศที่ไม่สามารถส่งออกไปได้
ภาครัฐและเอกชนไทยจึงร่วมมือตั้งศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเซลส์ ร่วมกับสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ศูนย์สัตว์ทดลองแห่งชาติ เพื่อพัฒนายาแผนปัจจุบันและยาสมุนไพรไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล นอกจากนี้จะส่งเสริมให้เกิดการเข้าถึงการผลิตในโรงงานที่ได้มาตรฐานด้วยการใช้ทรัพยากรร่วมกันให้เกิดประโยชน์สูงสุด
นายเมธา สิมะวรา อดีตประธานกลุ่มอุตสาหกรรมสมุนไพร กล่าวว่า ต้องการให้นายสิทธิชัยสานต่อภารกิจและต่อยอดแผนปฏิบัติการด้านสมุนไพรแห่งชาติ ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2566 – 2567 ที่วางเป้าประเทศไทยเป็นผู้นำในภูมิภาคด้านผลิตภัณฑ์สมุนไพรเพื่อสุขภาพที่ได้มาตรฐาน และมีการเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพร เชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทาน ต่อยอดด้วยนวัตกรรมให้เป็นที่ยอมรับระดับสากล 6 ด้านได้แก่