นางสาวทิวาพร ผาสุข รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้ดำเนินโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2565 โดยในวันที่ 1 ของทุกเดือน ผู้ที่ได้รับสิทธิจะสามารถใช้สิทธิเป็นวงเงินสิทธิกับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ โดยวงเงินดังกล่าวจะไม่สามารถถอนเป็นเงินสดได้ และไม่สะสมในเดือนถัดไป
ซึ่งผู้ที่ได้รับสิทธิจะสามารถใช้วงเงินสิทธิสวัสดิการแห่งรัฐในการซื้อสินค้า จำนวน 300 บาทต่อคนต่อเดือน วงเงินส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้ม 80 บาทต่อคนต่อ 3 เดือน และวงเงินค่าเดินทางผ่านระบบขนส่งสาธารณะ จำนวน 750 บาทต่อเดือน กับร้านค้าหรือผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการที่รับชำระเงินผ่านเครื่อง EDC หรือแอปพลิเคชันถุงเงิน
ทั้งนี้ ปัจจุบันมีร้านค้าและผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ รับชำระเงินค่าสินค้าจากผู้ใช้สิทธิสวัสดิการแห่งรัฐผ่านแอปพลิเคชันถุงเงินกว่าหนึ่งแสนร้านค้า ดังนั้น เพื่อให้การรับชำระค่าสินค้าและบริการผ่านสิทธิสวัสดิการแห่งรัฐ จากแอปพลิเคชันถุงเงิน เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและโปร่งใส จึงได้กำหนดวิธีการรับชำระค่าสินค้าและบริการ ด้วยวิธีการสแกนใบหน้าควบคู่กับการใส่รหัสคู่บัตร (PIN Code) 6 หลัก ตั้งแต่วันที่ 11 มีนาคม 2567 เป็นต้นไป
โดยผู้มีสิทธิสวัสดิการแห่งรัฐที่ไปใช้สิทธิที่ร้านค้าหรือผู้ประกอบการที่รับชำระค่าสินค้าผ่านแอปพลิเคชันถุงเงิน จะต้องแสดงบัตรประจำตัวประชาชน พร้อมกดรหัสคู่บัตร PIN 6 หลัก และให้ร้านค้าหรือผู้ประกอบการสแกนใบหน้าทุกครั้ง ยกเว้น กลุ่มผู้มอบอำนาจให้ดำเนินการแทน เช่น ผู้ป่วยติดเตียง ผู้พิการ ผู้สูงอายุที่เดินทางไปยืนยันตัวตนเองไม่ได้ เป็นต้น และกลุ่มผู้ที่สแกนใบหน้าไม่ผ่านตั้งแต่ขั้นตอนยืนยันตัวตน (e-KYC)
สำหรับกรณีที่รหัสคู่บัตร (PIN Code) 6 หลัก ถูกล็อก ให้ดำเนินการ ดังนี้