หนึ่งในภารกิจใหญ่นอกเหนือจากการเดินทางมาเยือนฮ่องกงเพื่อร่วมเป็นสักขีพยานลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่าง 10 บริษัทผู้ส่งออกสินค้า SMEs-OTOP-เกษตรกรไทย และค้าปลีกยักษ์ใหญ่ ห้างสรรพสินค้า Big C ฮ่องกง เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา
โดยมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์นำทีมร่วมหารือกับรัฐมนตรีพาณิชย์และการพัฒนาเศรษฐกิจฮ่องกง เพื่อเปิดทางสะดวกให้กับผู้ประกอบการไทย สินค้าและบริการไทยเข้าสู่ตลาดฮ่องกง
พร้อมดึงฮ่องกงใช้ไทยเป็นศูนย์กลางในการขยายการค้าและลงทุนสู่อาเซียนแล้ว ยังได้ใช้โอกาสนี้เยี่ยมชมการจัดงาน Hong Kong International Film & TV Market (FILMART) ที่ฮ่องกงจัดขึ้น ซึ่งเป็นงานซื้อขายภาพยนตร์ที่ใหญ่ที่สุดของเอเชียงานหนึ่ง ซึ่งมั่นใจว่าผู้เข้าร่วมงานจากไทยจะประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี
โดยกระทรวงพาณิชย์ได้นำผู้ประกอบการเข้าร่วมในปีนี้จำนวน 27 บริษัท แยกเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายภาพยนตร์และแอนิเมชัน 9 บริษัท ผู้ผลิตรายการและละครโทรทัศน์ 10 บริษัท บริการเกี่ยวเนื่องกับภาพยนตร์และวีดิทัศน์ 8 บริษัท ซึ่งหวังว่าจะเกิดการซื้อขาย และร่วมมือกันระหว่างผู้ประกอบการไทยและฮ่องกงในระยะต่อไป
รวมทั้งมีบริษัทไทยที่เข้าร่วมงานด้วยตนเองอีก 6 บริษัท โดยนายภูมิธรรมได้พบกับดาราชื่อดัง “อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม ” ที่นำบริษัท เฮโล โปรดักส์ชั่น จำกัด มาร่วมออกบูธที่งาน FILMART ฮ่องกงด้วย
นอกจากนี้ยังมีบริษัท บี ออน คลาวด์ จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิตซีรีส์วายชื่อดัง ที่ได้จับมือกับกระทรวงพาณิชย์ในการร่วมกันผลักดันสินค้าไทยไปสู่ระดับสากลร่วมด้วย
โดยก่อนหน้านี้ กระทรวงฯ ได้เดินหน้าคัดเลือกสินค้าให้กับผู้ผลิตซีรีส์ไปใช้ประกอบการถ่ายทำ และสำหรับงาน FILMART นี้ตลาดเป้าหมายสำคัญของไทยได้แก่ ประเทศในภูมิภาคอาเซียน ฮ่องกง และจีน เป็นต้น
นายภูมิธรรมกล่าวว่า อุตสาหกรรมภาพยนตร์ของไทยปัจจุบันได้มีการนำเทคโนโลยีนวัตกรรมที่ทันสมัยเข้ามาประยุกต์ใช้ในการสร้างภาพยนตร์และคอนเทนต์มากขึ้น ทำให้สามารถยกระดับคุณภาพของงาน ทั้งการมีภาพที่มีความงดงาม แสง สี และเสียงมีความเป็นธรรมชาติ และรัฐบาลยังได้ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์เป็นอย่างมาก
โดยที่รัฐบาลยังได้มีมาตรการลดภาษีต่างๆ เพื่อดึงดูดการลงทุนและใช้ไทยเป็นสถานที่การถ่ายทำภาพยนตร์จากต่างชาติมากขึ้น โดยมูลค่าอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยในปัจจุบันมีมูลค่าสูงถึง 18,450 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน ได้หารือถึงการยกระดับความร่วมมือระหว่างกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) และองค์การสภาพัฒนาการค้าฮ่องกง (HKTDC) ที่จะมีการลงนาม MOU กันในการเดินทางเยือนฮ่องกงในครั้งนี้ เพื่อสร้างความร่วมมือใน 3 ด้าน ได้แก่
1) การแลกเปลี่ยนข้อมูลทางการค้า
2) การสนับสนุนกิจกรรมการค้าเพื่อยกระดับความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมของธุรกิจ SMEs เช่น จัดการฝึกอบรมระหว่างกัน และ
3) ความร่วมมือในการส่งเสริมการค้าผ่านระบบอีคอมเมิร์ซ
นอกจากนี้ ได้ขอความร่วมมือฮ่องกงในการสนับสนุนและจัดการ Soft Power ของไทยให้มากขึ้น ทั้งอาหาร ผลไม้ ข้าวหอมมะลิไทย และธุรกิจบริการไทย เช่น โรงพยาบาล โรงแรม ให้ผู้บริโภคชาวฮ่องกงได้รับทราบ และช่วยสนับสนุนกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง
ตลอดจนกระชับความร่วมมือให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และยังขอให้ช่วยส่งเสริมการค้าในธุรกิจภาคบริการที่ไทยมีศักยภาพสูง อาทิ ธุรกิจบริการด้านสุขภาพและบริการสำหรับผู้สูงอายุ ธุรกิจ Startup และการค้นคว้าวิจัยสมัยใหม่ และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ระบุว่า ปัจจุบัน ฮ่องกงเป็นตลาดส่งออกอันดับที่ 7 (คู่ค้าลำดับที่ 13) ของการค้าในปี 2566 ที่มีมูลค่า 13,708 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 6.94 เมื่อเทียบกับปี 2565
โดยเป็นการส่งออก 11,096 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 10.04 และเป็นการนำเข้า 2,612 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัวร้อยละ 4.47 ซึ่งเกินดุลการค้า 8,483 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 15.43
สินค้าส่งออกของไทยไปฮ่องกงที่สำคัญ ยกตัวอย่าง เช่น อัญมณีและเครื่องประดับ แผงวงจรไฟฟ้า นาฬิกาและส่วนประกอบ ข้าว ผลไม้ และผลิตภัณฑ์เภสัชภัณฑ์ เป็นต้น