ครบ 2 ปี “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” ปลุก 3 โปรเจ็กต์คมนาคม

29 พ.ค. 2567 | 06:29 น.
อัพเดตล่าสุด :29 พ.ค. 2567 | 06:35 น.

“ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” กางแผนครบรอบทำงาน 2 ปี เดินหน้า 3 โปรเจ็กต์คมนาคม เล็งชงครม.ปลดล็อคม.44 สางปัญหาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว เตรียมปรับโฉมรถเมล์ดิจิทัล 500 ป้ายในปี 68 ปักหมุด 3 ปี ดันรถเก็บขยะ-รถสุขาเคลื่อนที่รุกรถอีวี

KEY

POINTS

  • “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” กางแผนครบรอบทำงาน 2 ปี เดินหน้า 3 โปรเจ็กต์คมนาคม  
  • เล็งชงครม.ปลดล็อคม.44 สางปัญหาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว
  • เตรียมปรับโฉมรถเมล์ดิจิทัล 500 ป้ายในปี 68 ปักหมุด 3 ปี
  • ดันรถเก็บขยะ-รถสุขาเคลื่อนที่รุกรถอีวี

ที่ผ่านมา “กรุงเทพมหานคร” หรือ กทม.ภายใต้การดำเนินงานของ “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” ได้ดำเนินการตามนโยบายอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ตลอดจนการปรับปรุงทางเท้าและเส้นทางคมนาคมได้สะดวกมากขึ้น ปัจจุบันได้ครบรอบ 2 ปีของการทำงาน เมื่อวันที่ 28 พ.ค. ที่ผ่านมา   

 

ล้มคำสั่งม.44 ลุยสัมปทานสายสีเขียว

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยว่า เดิมกรุงเทพฯ เป็นเมืองเที่ยวสนุก แต่ประสิทธิภาพต่ำ ซึ่งทำให้คนเหนื่อยกับการใช้ชีวิตและการเผชิญกับปัญหาอุปสรรคมากมาย ดังนั้นสิ่งที่ได้ทำตลอดช่วง 2 ปีที่ผ่านมา จึงมีการเปลี่ยนแปลงและปรับหลาย ๆ ด้าน เพื่อให้การทำงานและการแก้ไขปัญหามีความคล่องตัว มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้คนเหนื่อยน้อยลงและมีความสุขกับการใช้ชีวิตมากขึ้น

 

นายชัชชาติ กล่าวต่อว่า ส่วนความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาโครงการส่วนต่อขยายรถไฟฟ้า BTS ที่มีมาต่อเนื่อง ได้ลุล่วงไปในก้าวแรก โดยกทม.สามารถชำระหนี้งานระบบรถไฟฟ้าและเครื่องกล (E&M) ของรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีเขียว วงเงิน 23,000 ล้านบาท ซึ่งได้โอนกรรมสิทธิ์มาเป็นของ กทม. เรียบร้อยแล้ว หลังจากนี้กทม.จะดำเนินการต่อไปคือการลดการผูกขาด โดยเสนอรัฐบาลให้ยกเลิกคำสั่ง ม.44 นำระบบรถไฟฟ้ากลับสู่กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างและร่วมทุนตามกฎหมาย เพื่อผลประโยชน์ของประชาชนต่อไป 
 

“ปัจจุบันคำสั่งม.44 พบว่าข้อเท็จจริงได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว เนื่องจากคำสั่งเดิมให้กทม.นำหนี้หนี้งานระบบรถไฟฟ้าและเครื่องกล (E&M) ที่ชำระไปแล้วเป็นส่วนหนึ่งในการต่อสัญญาสัมปทาน ซึ่งกทม.จะเสนอต่อกระทรวงมหาดไทยและคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาว่าจะเดินหน้าต่ออย่างไร ควรยกเลิกหรือปรับเปลี่ยนคำสั่งม.44 ดำเนินการเปิดประมูลตามพ.ร.บ.ร่วมทุนใหม่หรือไม่ขึ้นอยู่กับครม.เป็นผู้พิจารณา คาดว่าจะนำเรื่องดังกล่าวเสนอต่อกระทรวงมหาดไทยได้ภายใน 1-2 สัปดาห์นี้”

 

นายชัชชาติ ระบุอีกว่า ขณะนี้รถไฟฟ้าสายสีเขียวจะสิ้นสุดสัญญาสัมปทานอีก 5 ปี หรือปี 72 ซึ่งตามกระบวนการจะต้องเริ่มดำเนินการเปิดประมูลตามพ.ร.บ.ร่วมทุนฯแล้ว แต่เงื่อนไขที่มีอยู่ในปัจจุบัน เช่น สัญญาที่มีการต่อสัมปทานล่วงหน้ากว่า 10 ปี ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่ครม.จะต้องพิจารณาเป็นแพ็คเกจเดียวกันด้วย ทั้งนี้หากจะดำเนินการตามพ.ร.บ.ร่วมทุนฯ จะต้องดำเนินการก่อน 5 ปีที่สัญญาสัมปทานจะสิ้นสุดลง โดยกทม.จะจ้างบริษัทที่ปรึกษาเพื่อศึกษาว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป

 

 “เราอยากให้รถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้าสู่กระบวนการเปิดประมูลใหม่ เพราะการต่อสัญญาสัมปทานจะดูแลเพียงไม่กี่คนไม่ได้ ซึ่งเรื่องนี้มีผลต่อประชาชนที่ใช้บริการกว่า 700,000 คนต่อวัน รวมทั้งรายได้ของกทม.ในอนาคตด้วย ซึ่งเราควรทำให้กระบวนการโปร่งใสเชื่อว่าจะเกิดประโยชน์ต่อประชาชนมากที่สุด”

 

เร่งสปีด 500 ป้ายรถเมล์ดิจิทัล

ในปี 68 กทม.จะเร่งดำเนินการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร(สนข.) ที่มีแอปพลิเคชั่นนำทางและเอกชนที่มีแอปพลิชั่น Via Bus ฯลฯ เพื่อทำงานร่วมกันในการเพิ่มประสิทธิภาพการติดตามรถโดยสารได้ง่ายและสะดวกมากขึ้น รวมทั้งการปรับปรุงป้ายรถเมล์ดิจิทัล 500 ป้าย, การปรับปรุงศาลารถเมล์ 300 หลัง และการติดตั้งจอดิจิทัลในศาลาที่พักผู้โดยสารอีก 200 หลัง ซึ่งจะเป็นการเพิ่มตัวเลือกการเดินทาง โดยเฉพาะการเชื่อมต่อ (Last Mile) ด้วยการเดินทางที่หลากหลาย เช่น รถตุ๊ก ๆ ไฟฟ้า, เรือไฟฟ้า, จักรยาน Shuttle Bus และการเดินเท้าที่สะดวกปลอดภัย มีหลังคาคลุม เป็นต้น

3 ปี ดันรถสันดาปสู่รถอีวี 
 
นอกจากนี้กทม.มีแผนเปลี่ยนรถบริการของ กทม.จากรถที่ใช้พลังงานดีเซลมาเป็นรถพลังงานไฟฟ้าแทน โดยในปี 67 มีแผนรับมอบรถยนต์พลังงานไฟฟ้า จำนวน 615 คัน แบ่งเป็น รถเก็บขยะ 368 คัน, รถบรรทุกน้ำ 145 คัน และในปี 68 จำนวน 392 คัน  แบ่งเป็น รถเก็บขยะ 372 คัน,รถสุขาเคลื่อนที่ 10 คัน และรถบรรทุก 6 ล้อ 10 คัน รวมทั้งในปี 69 เป็นรถเก็บขยะ จำนวน 657 คัน 

ครบ 2 ปี “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” ปลุก 3 โปรเจ็กต์คมนาคม

อย่างไรก็ตามจากการคำนวณรถขยะขนาด 5 ตัน หากเปลี่ยนเป็นรถไฟฟ้าสามารถลดค่าเช่าลงเหลือ 2,240 บาทต่อคันต่อวัน จากเดิมที่จ่ายค่าเช่า 2,800 บาทต่อคันต่อวัน ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเหลือ 200 ตันต่อปี จากเดิมที่มีการปล่อยก๊าซฯ 2,256 ตันต่อปี และลดการปล่อย PM2.5 เหลือเป็นศูนย์ จากเดิม 22 กก.ต่อปี รวมทั้งลดต้นทุนพลังงานเหลือ 455 บาทต่อเที่ยว จากเดิม 1,300 บาทต่อเที่ยว นอกจากนี้ยังเร่งรัดการก่อสร้างโรงเผาขยะเพื่อผลิตไฟฟ้าอ่อนนุช-หนองแขม เพื่อลดการฝังกลบและลดต้นทุนการจัดการขยะ คาดว่าจะเปิดโรงงานได้ภายในปี 69 ส่งผลให้กทม.ประหยัดเงินค่าจัดการขยะได้ 172,462,500 บาทต่อปี

 

หากกทม.สามารถผลักดันโครงการต่างๆได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ จะทำให้กรุงเทพมหานครกลายเป็นเมืองที่มีประสิทธิภาพดีและเป็นเมืองที่น่าอยู่มากขึ้นในอนาคต