วิกฤตซ้อนวิกฤต ร้านทองไทยท่ามกลางบาทแข็ง-เศรษฐกิจซบเซา

27 ก.ย. 2567 | 04:55 น.
อัพเดตล่าสุด :27 ก.ย. 2567 | 04:55 น.

นายกสมาคมค้าทองคำ เปิดผลกระทบของค่าเงินบาทแข็งและเศรษฐกิจชะลอตัวต่อธุรกิจร้านทองไทย การปรับตัวของผู้ประกอบการและบทบาทของภาครัฐในการแก้ไขปัญหา

ในขณะที่ ราคาทองคำโลก กำลังสดใส แต่ร้านทองในประเทศไทยกลับต้องเผชิญกับความท้าทายที่ซับซ้อนและรุนแรง นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ เปิดเผยถึงสถานการณ์ที่กำลังบีบรัดธุรกิจร้านทองไทยอย่างหนัก

ภาพถ่ายแฟ้ม: ทองคำแท่งจัดแสดงอยู่ที่ สำนักงาน Gold Silver Central ในสิงคโปร์

สำหรับปัจจัยแรกที่ส่งผลกระทบคือ ค่าเงินบาทที่แข็งค่า ขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้ราคาทองในประเทศถูกกดให้ต่ำลงถึงเกือบ 10% จากที่ควรจะเป็น ปัจจุบันราคาทองคำแท่งอยู่ที่ประมาณบาทละ 40,000 บาท ซึ่งหากเงินบาทไม่แข็งค่าเช่นนี้ ราคาทองอาจพุ่งสูงถึง 44,000 บาทต่อบาททองคำ ที่อัตราแลกเปลี่ยน 36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

ความผันผวนของราคาทองจะเป็นเรื่องปกติ

แน่นอนว่า ความแตกต่างของราคาที่เกือบ 4,000 บาทต่อบาททองคำนี้ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อกำไรของร้านทอง แม้ว่าความผันผวนของราคาทองจะเป็นเรื่องปกติสำหรับร้านทองในประเทศไทย แต่สถานการณ์นี้อาจทำให้การบริหารสต็อกและการกำหนดราคาขายเป็นไปอย่างยากลำบาก

ผู้ซื้อทองคำกำลังลองสวมสร้อยข้อมือทองคำโดยมีพนักงานกำลังให้บริการ

นายกสมาคมค้าทองคำมองว่า การแก้ปัญหานี้เป็นหน้าที่ของรัฐบาลโดยเฉพาะ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยเชื่อว่า ธปท. มีข้อมูลและเครื่องมือในการบริหารจัดการอัตราแลกเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจ

 

เศรษฐกิจชะลอตัวปัจจัยซ้ำเติม

นอกจากนี้ ปัจจัยที่ซ้ำเติมสถานการณ์ให้ยากลำบากยิ่งขึ้นคือ ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลงอย่างมาก แม้หลายคนมองทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในยามเศรษฐกิจไม่แน่นอน แต่เมื่อปัญหาปากท้องมาเยือน การซื้อทองก็กลายเป็นเรื่องรองลงไป

ทองคำหลากหลายรูปแบบถูกวางไว้ในตู้อย่างมิดชิด

ผลกระทบที่เห็นได้ชัดคือการปิดตัวลงของร้านทองหลายแห่งทั่วประเทศ โดยเฉพาะร้านขนาดเล็กที่ไม่สามารถแบกรับต้นทุนและความเสี่ยงได้อีกต่อไป อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการที่ยังคงอยู่รอดได้พยายามปรับตัวด้วยกลยุทธ์ต่างๆ เช่น การปรับขนาดทองคำให้เล็กลง ร้านทองหลายแห่งเริ่มผลิตและจำหน่ายทองคำในขนาดที่เล็กลง เช่น 0.5 สลึง หรือ 1 กรัม เพื่อให้ผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อน้อยลงสามารถเข้าถึงได้  แม้จะมีความพยายามในการปรับตัว แต่นายจิตติยอมรับว่า มาตรการเหล่านี้ยังไม่สามารถกระตุ้นยอดขายได้อย่างมีนัยสำคัญ