สร้างพายุหมุนไปแล้วลูกแรก ตามนโยบายรัฐบาลแพทองธาร สำหรับโครงการแจกเงิน10,000บาทกระตุ้นเศรษฐกิจปี67 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ โดยมีกำหนดแจกกลุ่มเปราะบางรวมทั้งสิ้น14.5 ล้านคน วงเงินงบประมาณ1.45แสนล้านบาท รูปแบบแจกเป็นเงินสด10,000บาท ตามเลขท้ายหมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน
เริ่มจากเลข0 ตั้งแต่วันที่25 ก.ย. 67สำหรับผู้พิการ และผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ล่าสุดวันสุดท้าย วันที่30กันยายน หรือตั้งแต่ ช่วงเวลา 24.00น. (เที่ยงคืนวันที่29กันยายน)เป็นต้นไปโดยบัตรประชาชนที่ลงท้ายด้วยเลข 8และ9มีจำนวน 2.26ล้านคน และถึงมือประชาชนกลุ่มเป้าหมายครบทั้งหมดแล้วทั้ง14.5ล้านคน
หลังจากที่ผ่านมาโอนสำเร็จไปแล้วดังนี้
และโอนครั้งสุดท้ายวันที่30 ก.ย.67 ดังกล่าว ซึ่งวันนี้ตื่นเช้ามาสามารถตรวจสอบเงินในบัญชี และถอนออกมาใช้จ่ายได้ทันทีโดยไม่มีเงื่อนไขข้อห้าม
ส่วนกลุ่มเปราะบางผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการที่ยังมีปัญหา หรือตกหล่น รัฐบาลเปิดโอกาส ให้ใช้สิทธิ์และดำเนินการให้สำเร็จได้จนถึงวันที่3ธันวาคมนี้ ซึ่งปัญหาหลักๆมีดังนี้เช่น
มีรายงานข่าวจากกรมบัญชีกลางระบุว่าขอให้ผู้มีสิทธิดำเนินการผูกบัญชีพร้อมเพย์กับเลขประจำตัวประชาชน หรือติดต่อธนาคาร เพื่อแก้ไขบัญชีเงินฝากธนาคารที่มีปัญหาข้างต้น ภายในวันที่ 18 ต.ค. 67 เพื่อให้ได้รับการจ่ายเงินซ้ำได้ทันภายในวันที่ 22 ต.ค. 67
สำหรับคนพิการจำนวนประมาณ 9 หมื่นราย ที่บัตรประจำตัวคนพิการหมดอายุ หรือข้อมูลบัตรประจำตัวคนพิการไม่สมบูรณ์ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ยังไม่ได้รับการโอนเงินเมื่อวันที่ 25 ก.ย. 67
ขอแนะนำให้ดำเนินการต่ออายุบัตรประจำตัวคนพิการ ทำบัตรประจำตัวคนพิการ หรือแก้ไขข้อมูลประจำตัวคนพิการที่ศูนย์บริการคนพิการทั่วประเทศให้ถูกต้อง ภายในวันที่ 10 ต.ค. 67 เพื่อให้ได้รับการจ่ายเงินซ้ำได้ทันภายในวันที่ 22 ต.ค. 67
อย่างไรก็ตามมีการประเมินกันหลายภาคส่วนว่าการแจกเงิน10,000 บาทกระตุ้นเศรษฐกิจปี67 ซึ่งเป็นเงินสดจะกระตุ้นการใช้จ่ายในทันที สร้างผลดีต่อเศรษฐกิจประเทศ แม้ว่า บางกลุ่มอาจนำไปชำระหนี้ หรือ อาจเก็บไว้ให้ลูกหลายบางรายอาจเก็บไว้รักษาตัว และไม่ซื้อสินค้าอะไรมากไปกว่าข้าวสารอาหารแห้ง
ในมุมของ นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประเมินว่า การแจกเงินทันทีตามโครงการแจกเงิน10000บาท กระตุ้นเศรษฐกิจปี67 ให้กับกลุ่มเปราะบางผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และคนพิการ จำนวน 14.5 ล้านคน ช่วยดันจีดีพีไตรมาส 4 ปีนี้โต 3.5-4% ส่วนทั้งปี 67 คาดว่าจะโตได้ 2.7–2.8% จากเดิม 2.5%
สำหรับเงินดิจิทัลส่วนที่เหลือหรือโครงการเฟส2 ที่จะให้กับผู้มีสิทธิ์ในส่วนที่เหลือจำนวน26ล้านคนที่ลงทะเบียนแล้ว นายธนวรรธน์ คาดจะเริ่มแจกได้ในช่วงปลายปี 67 เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชนจะมีโมเมนตัมช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ถึงต้นปี 68
คาดว่าจะช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจไทยปี 68 ขยายตัวได้ 3.5-4% ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจที่ดอกเบี้ยโลกเริ่มลด และประเทศไทยมีงบประมาณแผ่นดินเพื่อการเบิกจ่ายลงทุนได้ตามปกติ ซึ่งอาจทำให้สถานการณ์หนี้ครัวเรือนไทยลดลงมาอยู่ในระดับ 89-89.5% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ได้จากปี 67 ที่อยู่ในระดับ 90.8% ของจีดีพี
สิ่งจำเป็นที่รัฐบาลต้องทำคือ ทำให้เศรษฐกิจไทยกลับมาขยายตัวได้ที่ระดับไม่ต่ำกว่า 4% ให้ได้โดยเร็ว รวมถึงปรับค่าแรงให้สูงขึ้น ลดราคาพลังงาน ทำให้เศรษฐกิจฐานรากขยายดีขึ้นได้อย่างทั่วถึง พร้อมกับยกระดับคลินิกแก้หนี้ให้เป็นวาระแห่งชาติ เพื่อช่วยดูแลปัญหาหนี้ครัวเรือน
รายงานข่าวจากตลาดสดเทศบาลกระบี่ พบว่าหลังจากประชาชนได้รับแจกเงิน10,000บาท มีการถือเงินสดมาจ่ายตลาดทั้งของสดและอาหารแห้ง ช่วยให้พ่อค้าแม่ค้าในตลาดขายของกันอย่างคึกคัก เชื่อว่าจะสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนในพื้นที่ค่อนข้างมาก
ส่วนฝ่ายค้านอย่างพรรคประชาชนมองว่าการแจกเงิน10,000บาท แก้ปัญหาไม่ตรงจุดและไม่เกิดความยั่งยืนเพราะเงินจะหมดในเวลาอันสั้น
อย่างไรก็ตามเฟส2โครงการแจกเงินดิจิทัล รัฐบาลจะแจกเป็นเงินสดเหมือนเฟสแรกหรือไม่ สำหรับ26ล้านคนที่ลงทะเบียนรอไว้แล้ว งานนี้ต้องติดตาม !!!