ภก.ภาณุโชติ ทองยัง กรรมการสภาองค์กรของผู้บริโภค ในฐานะประธานอนุกรรมการ ด้านอาหาร ยา และผลิตภัณฑ์สุขภาพ เปิดเผยว่า กรณีมีผู้เสียหายเข้าแจ้งความตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (ปคบ.) ดำเนินคดีผู้บริหารบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจขายตรงเข้าข่ายแชร์ลูกโซ่ กล่าวหาหลอกลงทุนและหาลูกข่ายมาเป็นสมาชิกโดยไม่ได้ขายสินค้าจริง และใช้ศิลปินดาราช่วยโปรโมต
ล่าสุดมีผู้เสียหายเข้าแจ้งความร้องทุกข์แล้ว 1,067 ราย เสียหายกว่า 378.2 ล้านบาทนั้น
ส่วนตัวมองประเด็นดิ ไอคอนกรุ๊ปว่า มีความซับซ้อน คนอาจจะมองแค่เป็นเรื่องเข้าข่ายการหลอกลวงหรือเข้าข่ายแชร์ลูกโซ่ แต่ส่วนตัวมองประเด็นความปลอดภัยด้านอาหารที่วันนี้กฎหมายบ้านเรามีช่องโหว่ ขณะที่ประสิทธิภาพของกฎหมายปัจจุบันก็ตามไม่ทัน ทำอะไรไม่ได้
ภก.ภาณุโชติ ยอมรับว่า ในกรณีดาราส่วนใหญ่รับจ้างโฆษณาหรือรับรีวิว โดยมีการโฆษณาสรรพคุณเกินจริง ไม่ว่าจะเป็นอาหารหรือผลิตภัณฑ์สุขภาพ แต่เวลาถูกดำเนินคดีหรือมีเรื่องขึ้นมาดาราก็มักจะบอกว่า แค่รับจ้าง เป็นแค่พรีเซนเตอร์ รับสคริปต์มาพูด สุดท้ายความผิดก็จะถูกโยนกลับไปให้ผู้ผลิตสินค้า ส่วนดาราจะผิดแค่การโฆษณาเกินจริง ซึ่งบทลงโทษก็เบามาก
“หากจะมองให้ลึกกว่านั้น การที่ดาราโฆษณาสินค้าหรือผลิตภัณฑ์อาหาร ผู้บริโภคส่วนใหญ่ไม่ได้ซื้อเพราะว่าคําพูดของดารา แต่เขาซื้อเพราะภาพลักษณ์ดาราเชื่อถือดาราที่มีบุคลิกภาพ หน้าตาดี ยืนยันว่า ใช้จริง ผู้บริโภคเชื่อที่ตัวตน ดังนั้น ธุรกิจแบบนี้จึงนำภาพลักษณ์ของดารามาเป็นเครื่องมือทางธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจด้านสุขภาพ” ภก.ภาณุโชติ ระบุ
ขณะเดียวกันการที่หน่วยงานรัฐตามไม่ทันทำงานไม่รวดเร็วในการเข้าไประงับ หรือเตือนภัยผู้บริโภค จับตรงไหนก็มีช่องโหว่ไปหมด จึงกลายเป็นช่องทางให้ธุรกิจอาศัยช่องโหว่ของกฎหมาย ใช้โอกาสนี้ขยายธุรกิจจนใหญ่โตอย่างที่เห็น
ภก.ภาณุโชติ ยอมรับว่า ในยุคอินเทอร์เน็ตที่ทุกคนแชร์กระจายข้อมูลต่างๆ ไปอย่างรวดเร็ว ดาราที่เป็นพรีเซนเตอร์เองก็แชร์ด้วยนั้น ประธานอนุกรรมการ ด้านอาหาร ยา และผลิตภัณฑ์สุขภาพฯ เห็นว่า ตัวดาราหรือผู้มีชื่อเสียงจะต้องมีการกลั่นกรองก่อนจะรับรีวิวหรือเป็นพรีเซนเตอร์สินค้า รวมไปถึงสื่อโทรทัศน์ รายการทีวี สำนักข่าวออนไลน์ต่างๆ ด้วย
อย่างไรก็ตาม สภาผู้บริโภคกำลังเสนอแก้ไขร่างพระราชบัญญัติอาหาร (ฉบับที่ …) โดยอยู่ระหว่างรวบรวมรายชื่อเสนอฝ่ายนิติบัญญัตินั้น เป็นการ “ยกเครื่อง” กฎหมายอาหารที่ล้าสมัย โดยเป็นการเติมบางส่วนเพื่อให้การคุ้มครองผู้บริโภคมีประสิทธิภาพขึ้น ผู้บริโภคจะได้รับความคุ้มครองจากการโฆษณาอาหารที่ไม่เป็นธรรม
“การที่สภาผู้บริโภคเสนอแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 บังคับใช้มากว่า 45 ปี ถ้าเรามองก็เห็นเลยว่า ติดกระดุมเม็ดแรกผิด โดยเฉพาะนิยามที่เขียนไม่ครอบคลุมถึงกลุ่มพวกดารา อินฟลูเอนเซอร์ และการโฆษณา เขียนตั้งแต่ยุคที่ไม่มีอินเทอร์เน็ต ไม่มีแพลตฟอร์ม สื่อสังคมออนไลน์แบบทุกวันนี้”
พระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 ให้นิยาม ผู้ทําการโฆษณา ซึ่งเป็นนิยามที่กว้างมาก สภาผู้บริโภคจึงเสนอให้มีการแก้ไข ‘เพิ่มคำนิยาม’ เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับการคุ้มครองที่เป็นธรรม เช่น
เพิ่มคำนิยามคำว่า “สื่อโฆษณา” เพื่อให้ครอบคลุมถึงสื่ออิเล็กทรอนิกส์หรือสื่อเทคโนโลยีดิจิทัล และให้การปฏิบัติสามารถบังคับได้จริง
เพิ่มบทนิยาม คำว่า ผู้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับอาหาร หมายความว่า ผู้รับอนุญาตผลิตอาหาร ผู้รับอนุญาตนำเข้าอาหาร ผู้ผลิตอาหาร ผู้จำหน่ายอาหาร ผู้ผลิตภาชนะบรรจุหรือวัตถุสัมผัสอาหารเพื่อจำหน่าย ผู้นำเข้าภาชนะบรรจุหรือวัตถุสัมผัสอาหารเพื่อจำหน่าย ผู้จำหน่ายภาชนะบรรจุหรือสัมผัสอาหาร และหมายความ รวมถึง ผู้รับอนุญาตโฆษณาอาหารและผู้ทำการโฆษณาอาหารด้วย
“การเสนอรื้อกฎหมายอาหาร ใครที่ทำอะไรที่เกี่ยวกับอาหารอนาคตจะครอบคลุมหมด ซึ่งก็รวมถึงดารา อินฟลูเอนเซอร์โฆษณาอาหาร จะถือว่า เป็นผู้ประกอบธุรกิจด้วย และมีบทลงโทษทั้งจำทั้งปรับ”
ภก.ภาณุโชติ กล่าวอีกว่า ปัญหาช่องโหว่ของกฎหมายที่ถูกเขียนมาอย่างยาวนาน ทำให้อำนาจหน้าที่ของภาครัฐไม่ครอบคลุมและไม่เท่าทันปัญหาที่เกิด รวมถึงบทลงโทษที่ถูกบังคับใช้นั้น น้อยเกินกว่าจะทำให้ผู้ประกอบการเกรงกลัวต่อกฎหมาย
ดังนั้น การแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 จะเอาทุกองคาพยพ ตั้งแต่บริษัทรู้เห็นเป็นใจหรือไม่ ปล่อยให้โฆษณาอาหารเกินจริง ใครเขียนสคริปต์ให้ดารา อินฟลูเอนเซอร์พูด ก็ต้องรับผิดชอบด้วย