วันนี้ (21 พฤศจิกายน 2567) ในการประชุม “Forbes Global CEO Conference” นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย ได้ร่วมพูดคุยกับนายสตีฟ ฟอร์บส์ ประธานกรรมการและบรรณาธิการบริหารของ Forbes Media โดยได้แสดงมุมมองเกี่ยวกับโอกาสและความท้าทายทางเศรษฐกิจของไทย พร้อมเน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของนโยบายภาษีและการลงทุนในอนาคต
นายทักษิณกล่าวถึงแนวคิดการลดภาษีว่าเป็นเครื่องมือสำคัญในการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของประเทศไทย โดยระบุว่าภาษีนิติบุคคลในไทยยังคงสูงเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น สิงคโปร์ ที่มีอัตราภาษีเพียง 17% ซึ่งช่วยดึงดูดนักลงทุนต่างชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ “ถ้าเราอยากได้มาก ต้องขอน้อย” เขากล่าวพร้อมเสริมว่า การลดภาษีในอดีต เช่น สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ พิสูจน์แล้วว่าช่วยเพิ่มรายได้ภาษีรวม และกระตุ้นกำลังซื้อของประชาชนได้สำเร็จ
นายทักษิณเสนอว่า อัตราภาษีที่เหมาะสมสำหรับไทยควรลดลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อสร้างแรงจูงใจให้บริษัทต่างชาติเลือกลงทุนในประเทศ ในขณะเดียวกันก็ต้องเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และจัดทำระบบคืนภาษีให้ผู้มีรายได้น้อยแบบ Negative Income Tax (NIT) เพื่อไม่ให้ประชากรส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบ
นอกจากนี้ นายทักษิณยังเน้นย้ำว่า การลดภาษีจะช่วยส่งเสริมให้ธุรกิจขนาดเล็กและผู้ประกอบการในประเทศสามารถเติบโตได้ โดยเฉพาะในภาคเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) และซอฟต์พาวเวอร์ ซึ่งเป็นจุดแข็งของไทย
“ประเทศไทยมีศักยภาพสูงในอุตสาหกรรมวัฒนธรรม การบริการ และความคิดสร้างสรรค์ หากได้รับการสนับสนุนที่เหมาะสม จะสามารถแข่งขันในเวทีโลกได้อย่างแน่นอน”
อีกด้านหนึ่ง นายทักษิณได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายสนับสนุนการลงทุนในเทคโนโลยีว่า รัฐบาลควรสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ดึงดูดบริษัทระดับโลก เช่น การพัฒนาศูนย์ข้อมูล (Data Center) และระบบสมาร์ตกริด (Smart Grid) เพื่อเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาด และลดต้นทุนด้านพลังงาน
“ค่าไฟฟ้าในไทยยังคงสูงเกินไป หากลดต้นทุนได้ จะเพิ่มความน่าสนใจให้ประเทศในฐานะศูนย์กลางเทคโนโลยีของภูมิภาค”
ในประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน นายทักษิณกล่าวว่า แม้ความขัดแย้งระหว่างสองมหาอำนาจจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก แต่กลับเป็นโอกาสสำคัญสำหรับประเทศไทยในการดึงดูดการย้ายฐานการผลิต เขาชี้ว่าไทยมีทรัพยากรครบครัน ทั้งแรงงาน พลังงานไฟฟ้า และพื้นที่ โดยเฉพาะหากเพิ่มแรงจูงใจด้านภาษี ประเทศไทยสามารถเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ของนักลงทุน และเสนอว่า ไทยควรส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศให้เป็นระบบที่เอื้อต่อประเทศขนาดเล็กหรือกำลังพัฒนา เช่น การลดภาษีนำเข้าหรือการขจัดอุปสรรคทางการค้า เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและลดความเหลื่อมล้ำระหว่างประเทศ
ในเวที BRICS และโครงสร้างการเงินโลก นายทักษิณชี้ว่าความร่วมมือในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่นี้มีศักยภาพในการสร้างสมดุลในระบบการเงินระหว่างประเทศ โดยคาดการณ์ว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า อาจมีระบบการชำระเงินรูปแบบใหม่ที่ไม่ขึ้นอยู่กับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ หรือระบบ SWIFT เช่น การใช้เงินคริปโตหรือกลไกทางการเงินที่ออกแบบร่วมกัน
นายทักษิณยังกล่าวถึงบทบาทของ APEC และ ASEAN ว่าควรมีการปฏิรูปเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบรรลุข้อตกลงและส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการสนับสนุนประเทศขนาดเล็กและเศรษฐกิจเกิดใหม่
“หากเวทีเหล่านี้ยังไม่สามารถหากลยุทธ์ที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรมได้ การประชุมจะไม่เกิดผลใด ๆ ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจโลก”
ในช่วงท้าย นายทักษิณเน้นย้ำถึงวิสัยทัศน์ 10 ปีของไทย โดยวางเป้าหมายสองด้านหลัก ได้แก่ การใช้ซอฟต์พาวเวอร์ เช่น การท่องเที่ยวและวัฒนธรรม เพื่อสร้างรายได้ และการก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีในภูมิภาค โดยการดึงดูดนักลงทุนในอุตสาหกรรม AI และเซมิคอนดักเตอร์ รวมถึงการสร้างระบบดิจิทัลฮับที่มีศูนย์ข้อมูลเชื่อมต่อกับทุกประเทศ
“อนาคตของไทยขึ้นอยู่กับการตัดสินใจในวันนี้ หากเรากล้าลงทุนในไอเดียใหม่ๆ และสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุน เราจะสามารถยกระดับเศรษฐกิจไทยให้ก้าวสู่ความเป็นผู้นำในระดับโลกได้” นายทักษิณ กล่าว