ผู้บริหารเอกชนแนะผู้ประกอบการเร่งปรับตัวรับนโยบาย "ทรัมป์ 2.0"

03 ธ.ค. 2567 | 09:44 น.
อัปเดตล่าสุด :03 ธ.ค. 2567 | 09:44 น.

ผู้บริหารเอกชนแนะผู้ประกอบการเร่งปรับตัวรับนโยบาย "ทรัมป์ 2.0" ระบุมีความกังวลผลกระทบทางอ้อมจากจีนหาตลาดใหม่ทดแทนตลาดสหรัฐฯ ทำให้สินค้าจีนทะลักเข้ามาแข่งขันในตลาดอาเซียนและประเทศไทยมากขึ้น 

หม่อมหลวงปีกทอง ทองใหญ่ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจ FTI CEO Poll ครั้งที่ 42 ในเดือนพ.ย. 67 ภายใต้หัวข้อมุมมองภาคอุตสาหกรรมต่อผลกระทบจากนโยบายทรัมป์ 2.0 พบว่า 

ผู้บริหาร ส.อ.ท. ส่วนใหญ่ มีความกังวลต่อนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ อยู่ที่ระดับปานกลาง เนื่องจากยังต้องติดตามว่านโยบายดังกล่าวจะมีความชัดเจนอย่างไรหลังจากเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 ม.ค. 68 

อย่างไรก็ตาม ภายใต้นโยบาย America First ที่จะมีการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากทุกประเทศในอัตรา 10% และเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจีนสูงสุด 60% นั้น ผู้บริหาร ส.อ.ท. มีความกังวลต่อผลกระทบทางอ้อมจากการที่จีนต้องหาตลาดใหม่ทดแทนตลาดสหรัฐฯ ซึ่งจะทำให้สินค้าจีนทะลักเข้ามาแข่งขันในตลาดอาเซียนและประเทศไทยมากยิ่งขึ้น 
 

รวมถึงความเสี่ยงต่อมาตรการกีดกันทางการค้าที่เข้มงวดขึ้นจากการเกินดุลการค้าสหรัฐฯ โดยตั้งแต่เดือนม.ค.-ต.ค. 67 ไทยได้ดุลการค้าสหรัฐฯ มูลค่ากว่า 28,904 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือขยายตัว 20.56% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 

ขณะเดียวกันนโยบายทรัมป์ 2.0 อาจเป็นโอกาสที่ประเทศไทยจะส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ มากยิ่งขึ้นทดแทนสินค้าจีน รวมถึงเป็นโอกาสดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติเข้ามาในประเทศไทยและการเข้าไปมีส่วนในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) สินค้าเทคโนโลยีใหม่ที่เข้ามาลงทุนในประเทศ

ผู้บริหารเอกชนแนะผู้ประกอบการเร่งปรับตัวรับนโยบาย "ทรัมป์ 2.0"

อย่างไรก็ตามจากผลสำรวจพบว่า ผู้บริหาร ส.อ.ท. ส่วนใหญ่มองว่า ภาคอุตสาหกรรมจะต้องเร่งพัฒนามาตรฐานผลิตภัณฑ์ให้เป็นที่ยอมรับของตลาดโลก ควบคู่ไปกับการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตเพื่อเตรียมความพร้อมให้กับธุรกิจในการรับมือกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลกที่มีผลพวงมาจากนโยบายทรัมป์ 2.0  รวมทั้งมีการวางแผนกระจายการส่งออกสินค้าไปยังตลาดอื่นๆ ที่มีศักยภาพ นอกเหนือจากสหรัฐฯ เพื่อรองรับความเสี่ยงในอนาคต

ส่วนภาครัฐควรบูรณาการความร่วมมือในการส่งเสริมการผลิตสินค้าที่ใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศให้มากขึ้น และให้ความสำคัญกับปกป้อง Supply Chain ภายในประเทศไทย รวมทั้งมีการออกมาตรการที่เข้มงวดในการรับมือสินค้าจีนโดยเฉพาะสินค้าราคาถูกที่ไม่ได้มาตรฐาน
 

จากการสำรวจผู้บริหาร ส.อ.ท. (CEO Survey) จำนวน 150 ท่าน ครอบคลุมผู้บริหารจาก 47 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 76 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด มีสรุปผลการสำรวจ FTI CEO Poll ครั้งที่ 42 จำนวน 7 คำถาม ประกอบด้วย 

นโยบายทรัมป์ 2.0 จะส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมในระดับใด

  • ปานกลาง 56.7%
  • มาก 25.3%
  • น้อย 18.0%

ภาคอุตสาหกรรมมีความกังวลต่อนโยบายทรัมป์ 2.0 ในเรื่องใด

  • การปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากทุกประเทศในอัตรา 10% เท่ากับ 66.0% และเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจีนสูงสุด 60%
  • มาตรการดึงการลงทุนกลับสหรัฐฯ (Reshoring) และนโยบาย America First 31.3%
  • การถอนตัวจากข้อตกลง Paris Agreement โดยเน้นความมั่นคงด้านพลังงานก่อนการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศ 30.7%          
  • การปรับยุทธศาสตร์การเจรจาความร่วมมือระหว่างประเทศเป็นแบบทวิภาคีแทนแบบพหุภาคี 28.0%  

นโยบายทรัมป์ 2.0 จะส่งผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจไทยในเรื่องใด

  • โอกาสของประเทศไทยในการส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯทดแทนสินค้าจีน 68.0%
  • การโยกย้ายการลงทุนจากต่างชาติเข้ามาในประเทศไทยเนื่องจากสงครามการค้า และการเข้าไปมีส่วนในห่วงโซ่อุปทานสินค้าเทคโนโลยีใหม่ 62.0%
  • ผลกระทบจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ลดลง เนื่องจากการลดบทบาทของสหรัฐฯ ในความขัดแย้งฯ 30.7%
  • โอกาสของผู้ประกอบการไทยที่ต้องการเข้าไปลงทุนในสหรัฐฯ 6.7%

นโยบายทรัมป์ 2.0 จะส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจไทยในเรื่องใด 

  • สินค้าจีนทะลักเข้ามาแข่งขันในตลาดอาเซียน และประเทศไทยมากยิ่งขึ้น 70.0%
  • ความเสี่ยงต่อมาตรการกีดกันทางการค้าที่เข้มงวดขึ้นจากการเกินดุลการค้าสหรัฐ และการที่จีนใช้ไทยเป็นช่องทางผ่านของสินค้าไปยังสหรัฐฯ 61.3%
  • ต้นทุนการส่งออกที่สูงขึ้นจากการปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐ และความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าโลก 39.3%
  • นักลงทุนจากสหรัฐฯ ชะลอการลงทุนในประเทศไทยจากนโยบาย America First   8.7%

ภาครัฐควรมีการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือผลกระทบจากนโยบายทรัมป์ 2.0 อย่างไร

  • ส่งเสริมการผลิตสินค้าที่ใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศ และให้ความสำคัญกับ Supply Chain ในประเทศไทยรวมทั้งออกมาตรการรับมือสินค้าจีน 56.7%
  • เร่งปรับปรุงกฎหมายกฎระเบียบให้ทันสมัยรองรับมาตรการใหม่ๆ ที่อาจกระทบต่อภาคธุรกิจ 52.0%
  • เร่งเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) เพื่อสร้างแต้มต่อในตลาดที่มีศักยภาพ เช่น FTA ไทย-EU 47.3%
  • รักษาบทบาทความเป็นกลางทางภูมิรัฐศาสตร์เพื่อสร้างประโยชน์จากการเบี่ยงเบนทางการค้าและการลงทุน 26.0%

ภาคเอกชนควรปรับตัวรับมือผลกระทบจากนโยบายทรัมป์ 2.0 อย่างไร

  • พัฒนามาตรฐานผลิตภัณฑ์ให้เป็นที่ยอมรับของตลาดโลกและปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต 66.7%
  • กระจายการส่งออกสินค้าไปยังตลาดอื่นๆ ที่มีศักยภาพนอกเหนือจากสหรัฐฯ 63.3%
  • ใช้เครื่องมือการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อรับมือกับความผันผวนของค่าเงิน 29.3%
  • สร้างโอกาสในการขยายการลงทุนในสหรัฐฯ และประเทศพันธมิตรของสหรัฐฯ 13.3%

นโยบายทรัมป์ 2.0 จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจด้านใด

  • การค้าและการลงทุน  62.0%
  • ค่าเงินบาท 52.0%
  • ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ 25.3%
  • ความผันผวนของตลาดทุน และประเทศพันธมิตรของสหรัฐฯ 19.3%