ในยุคที่ "ภูมิรัฐศาสตร์" และ "การค้าโลก" กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว การปรับตัวให้ทันต่อสถานการณ์ต่าง ๆ กลายเป็นเรื่องสำคัญไม่เพียงแต่สำหรับบริษัทใหญ่ ๆ แต่ยังรวมถึงเอสเอ็มอีไทยที่อาจจะต้องเผชิญกับความท้าทายที่มากขึ้นอีกด้วย นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ของบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCG องค์กรใหญ่สินทรัพย์กว่า 8 แสนล้านบาท
ได้เปิดเผยมุมมองสำคัญต่อสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ปัจจุบัน และแนวทางการปรับตัวของ SCG ในการดำเนินธุรกิจระหว่างที่โลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางการค้าอย่างหนัก
เมื่อพูดถึงการเพิ่มกำแพงภาษีจากสหรัฐฯ ภายใต้การบริหารของโดนัลด์ ทรัมป์ นายธรรมศักดิ์กล่าวกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ปัญหานี้อาจจะส่งผลกระทบทั้งในแง่บวกและลบต่อประเทศไทย โดยเฉพาะสินค้าที่มาจากจีนที่ไม่สามารถเข้าสหรัฐฯ ได้ อาจไหลเข้าสู่ตลาดอาเซียนแทน ซึ่งประเทศไทยอาจจะได้รับผลกระทบจากการแข่งขันที่สูงขึ้นกับสินค้าจีนที่มีราคาถูกและมีขนาดการผลิตที่ใหญ่กว่าหลายเท่า
แต่ในมุมกลับกัน การที่จีนไม่สามารถส่งสินค้าถึงสหรัฐฯ ได้ อาจเปิดโอกาสให้ประเทศอื่น เช่น เวียดนามและอินโดนีเซีย ได้รับโอกาสในการส่งออกสินค้าทดแทน จึงเป็นเวลาที่ประเทศไทยต้องปรับตัวให้รวดเร็วและลดต้นทุนการผลิตเพื่อให้สามารถแข่งขันได้
สมัยก่อนจีนขายไปสหรัฐ ตอนนี้ขายไม่ได้ แล้วสหรัฐต้องซื้อกับใคร อาจจะซื้อจากเวียดนาม อินโดนีเซีย แล้วทําไมไม่ซื้อจากไทย นี่คือกลยุทธ์ที่มองว่าทําอย่างไรถึงจะขายของเข้าสหรัฐให้ได้ แต่แน่นอนว่าของที่ขายอยู่ในไทยจะไปขายให้สหรัฐก็ต้องเข้าตามกฎเกณฑ์มาตรฐาน ตรงนี้ต้องใช้เวลาในการปรับตัว
ผู้บริหาร SCG ย้ำว่าสำหรับเอสเอ็มอีรัฐบาลอาจช่วยชะลอการนำสินค้าราคาถูกจากจีนเข้ามาไม่ว่าจะเป็นมาตรการหรือการป้องกัน การโปรโมทตัว Local Content ของจีนหรือประเทศอื่นที่จะมาลงทุน แต่เอสเอ็มอีก็ต้องช่วยเหลือตัวเองในปรับปรุงประสิทธิภาพสินค้า
โดยปูนซิเมนต์ไทย มีโปรแกรมที่เรียกว่า โครงการ SCG Go together เพื่อให้ความรู้ สร้างเครือข่ายกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs เพื่อให้ผ่านการตรวจสอบของสหรัฐฯ มาตรฐานแรงงาน การใช้พลังงานสะอาดลดต้นทุน รวมถึงการนำเทคโนโลยี AI มาใช้ให้เหมาะกับงาน
บางสินค้าใช้เวลาเพียง 1-3 เดือนในการปรับตัว ใครที่เริ่มก่อนจะได้เปรียบมาก
สำหรับธุรกิจของ SCG นายธรรมศักดิ์กล่าวว่า มีความกังวลเกี่ยวกับสินค้าจีนที่อาจส่งผลกระทบต่อราคาสินค้า โดยเฉพาะพลาสติก PP (Polypropylene) ที่ราคาถูก และบริษัทกำลังหามาตรการในการรับมือ เช่น การผลักดันสินค้าของ SCG เข้าไปยังตลาดสหรัฐฯ โดยเฉพาะสินค้าพลาสติก และปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำ ซึ่งปีที่ผ่านมา SCG สามารถส่งออกปูนซีเมนต์โลคาร์บอนไปยังสหรัฐฯ ได้ถึง 1.3 ล้านตัน
ในส่วนที่ต้องปรับตัวก็พยายามผลักสินค้าไปสหรัฐไม่ว่าจะเป็นสินค้าพลาสติกที่ต้องพยายามผลักออกไป 2 เดือนที่ผ่านมาได้เริ่มเชิญลูกค้าอเมริกันเข้ามาตรวจสอบ ซึ่งโดยปีที่ผ่านมาขายปูนซีเมนต์โลว์คาร์บอนให้สหรัฐได้ 1.3 ล้านตัน เพราะฉะนั้นมีการปรับตัวระยะหนึ่งแล้วก็น่าจะเป็นโอกาสที่จะทําได้ต่อ
แม้กำไร 3 ไตรมาส ปี 2567 จะลดลงถึง 40% แต่ SCG ยังมั่นใจในเสถียรภาพขององค์กร พร้อมเดินหน้าด้วยกลยุทธ์ที่ปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงรวมทั้งช่วง2-3 ปีที่ผ่านมาปิโตรเคมีช่วงขาลงทําให้กําไรลดลง
ผลกําไรโดยภาพรวมของเอสซีจีขอใช้ผลประกอบการ 3 ไตรมาส ถ้าดู 3 ไตรมาสอย่างละเอียดจริงจะเห็นว่า YoY เหมือนกำไรลดลงมาก แต่ว่าปีที่แล้วเอสซีจี โลจิสติกส์ (SCGL) ควบรวมกับ JWD หากตัดออกไปจะเห็นว่า YoY ไม่ได้ลงในระดับ 70% เต่ลดลงในระดับ 40 กว่าเปอร์เซ็นต์ ก็ต้องยอมรับว่าเยอะ เเต่ลองมาแยกให้เห็นอีกว่าลดลงจากอะไร หลักๆจากเคมีคอล เเละถ้าดูละเอียดจริงๆจะเห็นว่ากระแสเงินสดลดลงแค่ 10% ซึ่งธุรกิจตัวหลักคือกระแสเงินสด โดยจะรักษากระแสเงินสดให้กระทบน้อยที่สุด
อย่างไรก็ตาม จากผลประกอบการที่ลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน SCG เผชิญความท้าทายหลักจากธุรกิจปิโตรเคมี โดยเฉพาะในเวียดนาม ซึ่งโครงการคอมเพล็กซ์ใหม่ที่เพิ่งเริ่มดำเนินงาน ยังคงอยู่ในช่วงเริ่มต้น 3 ปีแรก ทำให้เครื่องจักรและการดำเนินงานไม่นิ่ง ส่งผลให้ยังไม่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้ตามเป้าหมาย ขณะเดียวกัน ธุรกิจปิโตรเคมีในประเทศไทยยังคงทำกำไรได้ดี ช่วยประคองสถานการณ์โดยรวมขององค์กร
กลยุทธ์กู้วิกฤติในเวียดนาม แก้ทั้งระยะสั้นและยาว
แผนระยะสั้น
SCG จะเร่งจ่ายคืนหนี้เพื่อลดต้นทุนดอกเบี้ย พร้อมบริหารจัดการค่าเสื่อมราคาให้เหมาะสมตามหลักบัญชี ทั้งนี้ยังวางแผนเดินเครื่องคอมเพล็กซ์ในช่วงฤดูร้อน ซึ่งเป็นช่วงที่ราคาวัตถุดิบโพรเพนถูก ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดต้นทุนไปพร้อมกัน
แผนระยะกลาง-ยาว
SCG เตรียมลงทุนในโครงการ LSP เพื่อเปลี่ยนวัตถุดิบจากโพรเพนเป็นอีเทน โดยนำเข้าจากสหรัฐฯ ซึ่งมีต้นทุนเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 300 ดอลลาร์ต่อตัน คาดว่าหากสามารถผลิตได้ 1 ล้านตันต่อปี จะช่วยลดต้นทุนการผลิตได้อย่างมีนัยสำคัญ พร้อมทั้งสามารถคืนทุนได้ภายในระยะเวลาไม่กี่ปี ซึ่งจะช่วยเสริมศักยภาพในการแข่งขันของธุรกิจปิโตรเคมีในเวียดนาม
เศรษฐกิจเวียดนามโตแรง สนับสนุนศักยภาพการเติบโตของ SCG
ปัจจุบัน SCG ถือเป็นบริษัทขนาดใหญ่ในเวียดนาม โดยมีสัดส่วนธุรกิจถึง 20% รองจากประเทศไทยซึ่งมีสัดส่วน 50% ตามมาด้วยอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ที่กำลังเติบโต ขณะที่เศรษฐกิจเวียดนามคาดว่าจะเติบโต 6% ในปี 2567 และตั้งเป้าโตถึง 8% ในปี 2568 สร้างโอกาสในการขยายตลาดสำหรับธุรกิจต่างๆ รวมถึง SCG
การแก้ไขปัญหาไฟฟ้าไม่เสถียรผ่านระบบ สมาร์ทกริด ภายใน 3 เดือน จะช่วยสร้างเสถียรภาพด้านพลังงาน รองรับการผลิตและการลงทุนที่เติบโต นโยบายยุบรวมกระทรวงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศและสร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคธุรกิจ
แม้จะต้องจับตามองประเด็นที่เวียดนามเป็นประเทศที่มีดุลการค้าเกินดุลกับสหรัฐฯ อยู่ในอันดับ 2-3 ซึ่งอาจถูกเรียกเจรจาในอนาคต
นายธรรมศักดิ์ ให้ความเห็นว่า เวียดนามมีจุดแข็งสำคัญคือ การรักษาสมดุลทางการทูตระหว่างจีนและสหรัฐฯ ได้อย่างแนบเนียน (Special Position) ประกอบกับการมีทรัพยากรและแรงงานที่พร้อมสนับสนุนการเติบโตของภาคธุรกิจ ทำให้เชื่อว่าเวียดนามจะสามารถปรับตัวรับมือกับความท้าทายได้อย่างรวดเร็ว
ตัดสินใจทิ้งธุรกิจที่ไม่คุ้มค่า ปรับโครงสร้าง ปูทางสู่อนาคตที่มั่นคง
ในโลกธุรกิจยุคนี้ การอยู่นิ่งคือความเสี่ยง แต่ผู้ที่พร้อมปรับตัวจะเป็นผู้อยู่รอด SCG จึงไม่เพียงมุ่งเน้นการขยายการลงทุนในตลาดที่มีศักยภาพ แต่ยังพร้อมถอนตัวจากธุรกิจที่ไม่สร้างผลตอบแทน พร้อมทั้งพัฒนานวัตกรรมใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก
SCG เดินหน้า "สตรีมไลน์ธุรกิจ" ด้วยการมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจที่มีศักยภาพสูงและให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า ยกตัวอย่างเช่น การยุติธุรกิจขนส่ง SCG EXPRESS ซึ่งแม้จะมีอัตราการเติบโตที่ดี แต่ผลตอบแทนทางการเงินต่ำเมื่อเทียบกับธุรกิจอื่นที่สร้างผลกำไรได้มากกว่า
ต้องกล้าที่จะปิดธุรกิจที่ไม่เวิร์ค และโยกทรัพยากรที่มีอยู่ไปยังธุรกิจที่สร้างมูลค่าเพิ่มและมีผลกระทบเชิงบวกมากกว่า เช่น ธุรกิจรีไซเคิลโพลิเมอร์ ธุรกิจพลังงานสะอาด และโครงการที่สอดรับกับเทรนด์โลก
ขยายพอร์ตธุรกิจใหม่ ตอบรับเทรนด์โลกและความยั่งยืน
SCG มุ่งลงทุนในธุรกิจพลังงานสะอาด อาทิ การพัฒนา Rondo Heat Battery และการลงทุนในระบบสมาร์ทกริด ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ให้ผลตอบแทนระยะยาว นอกจากนี้ยังปรับโครงสร้างพอร์ตธุรกิจให้สอดคล้องกับเป้าหมายการลดการปล่อยคาร์บอน (Low Carbon) เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาดและสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจในอนาคต
มองหุ้น SCG ความผันผวนที่มาพร้อมโอกาสในระยะยาว
ราคาหุ้น SCG อาจมีความผันผวนจากวัฏจักรธุรกิจปิโตรเคมีและปัจจัยภายนอก แต่ผู้บริหารยังคงย้ำถึงความมั่นคงทางการเงินของบริษัท โดย SCG มีแผนจ่ายคืนหนี้ ลดต้นทุน และเดินหน้าลงทุนในธุรกิจใหม่อย่างรอบคอบและยั่งยืน
ความมั่นใจลงทุนในหุ้นที่ขึ้นๆ ลงๆ สิ่งสําคัญที่สุดบริษัทนั้นต้องไม่เจ๊ง แน่นอนว่าแต่ละคนมีกลยุทธ์การลงทุนต่างกัน อยากให้ศึกษาถึง fundamental ศึกษาถึงปัญหาจริงๆ เอสซีจีถึงพูดเสมอว่าเน้นความมั่นคงทางการเงิน ทําอะไรด้วยความระมัดระวัง อย่าทําอะไรเกินตัว เพราะฉะนั้นการันตีว่า SCG เรื่องความแข็งแกร่งไม่มีปัญหาจะเห็นว่าสามารถจ่ายเงินกู้คืนได้
ปรัชญาการบริหารของ CEO เปลี่ยน "ปัญหา" ให้เป็น "ความสุข"
นายธรรมศักดิ์ ผู้บริหารของ SCG ได้กล่าวถึงแนวคิดในการบริหารองค์กร ภายหลังเข้ารับตำแหน่ง CEO SCG ต้นปีที่ผ่านมา โดยเน้นย้ำถึงการเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสในการพัฒนาองค์กร
ผู้บริหาร SCG เผยวิสัยทัศน์การบริหารองค์กร มุ่งเปลี่ยนผ่านจากธุรกิจไฮคาร์บอนสู่โลคาร์บอน พร้อมรับมือความท้าทายทางภูมิรัฐศาสตร์ เน้นสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนควบคู่กับการดูแลสิ่งแวดล้อม
ในฐานะผู้บริหาร การเข้ามาดูแลธุรกิจของ SCG ต้องมองภาพทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว โดยเฉพาะเป้าหมายระยะยาวที่สำคัญคือ การเปลี่ยนผ่านองค์กรจากธุรกิจไฮคาร์บอน เช่น ซีเมนต์และพลาสติก ไปสู่ธุรกิจที่มีการปล่อยคาร์บอนต่ำ
แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายระหว่างทาง โดยเฉพาะปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ต้องแก้ไขอย่างต่อเนื่อง แต่ SCG ยังคงยึดมั่นในหลักการดำเนินธุรกิจที่สามารถสร้างกำไรได้อย่างยั่งยืน ไม่ใช่เพียงแค่มุ่งเน้นการเติบโตเพียงอย่างเดียว
การเติบโตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม คือแนวทางสำคัญ ด้วยการพยายามลดการปล่อยคาร์บอน ควบคู่ไปกับการสร้างการเติบโตและผลกำไรอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นเจตนารมณ์ที่ SCG มุ่งมั่นดำเนินการอย่างเต็มกำลัง
เมื่อเจอปัญหา ผมไม่เรียกว่าปัญหา แต่จะมองว่าเป็นความสุข เพราะทุกปัญหาคือโอกาสที่จะได้ร่วมมือกันคิด วิเคราะห์ และแก้ไขเพื่อพาองค์กรไปข้างหน้าอย่างเข้มแข็งและมั่นคง
ด้วยวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน และแผนการบริหารจัดการที่แข็งแกร่ง SCG พร้อมเดินหน้าฝ่าวิกฤติ และมุ่งสู่การเป็นผู้นำธุรกิจที่ยั่งยืน สร้างอนาคตที่ดีกว่าทั้งในประเทศและระดับภูมิภาค