"ราคาทอง" ตลาดโลกปิดลบ 22 ดอลลาร์ หลังบอนด์ยีลด์เพิ่มกดดันราคา

28 ธ.ค. 2567 | 02:07 น.
อัปเดตล่าสุด :28 ธ.ค. 2567 | 02:07 น.

"ราคาทอง" ตลาดโลกปิดลบ 22 ดอลลาร์ หลังบอนด์ยีลด์เพิ่มกดดันราคา ขณะที่ตลาดมุ่งความสนใจไปที่การกลับเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของโดนัลด์ ทรัมป์ และผลกระทบที่นโยบายก่อเงินเฟ้อ

สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันศุกร์ (27 ธ.ค.) เนื่องจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นได้ลดความน่าสนใจของทองคำซึ่งไม่มีผลตอบแทนในรูปอัตราดอกเบี้ย 

ขณะที่ตลาดมุ่งความสนใจไปที่การกลับเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของโดนัลด์ ทรัมป์ และผลกระทบที่นโยบายก่อเงินเฟ้อของเขาจะมีต่อแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในปี 2568

สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ. ลดลง 22.00 ดอลลาร์ หรือ 0.8% ปิดที่ 2,631.90 ดอลลาร์/ออนซ์
 

ดัชนีดอลลาร์ปรับตัวขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 4 ติดต่อกัน ซึ่งลดความน่าสนใจของทองคำ เนื่องจากทำให้ราคาทองคำแพงขึ้นสำหรับผู้ถือสกุลเงินอื่น ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีปรับตัวใกล้ระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 2 พ.ค. หลังเข้าทดสอบในวันพฤหัสบดี

ในรอบปีนี้ ราคาทองคำพุ่งขึ้นแล้ว 28% และทำสถิติสูงสุดที่ 2,790.15 ดอลลาร์เมื่อวันที่ 31 ต.ค. โดยได้แรงหนุนจากการลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) และความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก

ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังคงมีมุมมองเชิงบวกสำหรับปี 2568 แม้ว่าเฟดคาดการณ์ถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่น้อยลง แต่พวกเขามองว่า ความตึงเครียดทางการเมืองในหลายพื้นที่ทั่วโลกจะยังคงเพิ่มขึ้น ธนาคารกลางต่าง ๆ จะยังคงซื้อทองคำอย่างต่อเนื่อง และจะเกิดความไม่แน่นอนทางการเมืองเมื่อโดนัลด์ ทรัมป์กลับเข้าสู่ทำเนียบขาวในเดือนมกราคม
 

นโยบายภาษีและการปกป้องการค้าของทรัมป์นั้นคาดว่าจะกระตุ้นให้เกิดสงครามการค้า ซึ่งจะเพิ่มความน่าสนใจของทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย

นักวิเคราะห์กล่าวว่า ในปีหน้า หากธนาคารกลางยังคงซื้อทองคำต่อไป ก็คาดว่าราคาทองคำอาจแตะระดับ 3,000 ดอลลาร์ภายในช่วงฤดูร้อน หากทองคำยังคงปรับตัวขึ้นในอัตรานี้

อย่างไรก็ดี ทองคำมักจะเป็นที่นิยมในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์มีความตึงเครียด และราคาทองคำมักจะปรับตัวขึ้นในสภาพแวดล้อมที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำ