นายพสิษฐ์ อัครนันท์กรณิศ ผู้อำนวยการใหญ่ประจำประเทศไทย บริษัท มอนเดลีซ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้รับผลกระทบจากพิษการแพร่กระจายของโควิด -19 ทำให้ต้องมการปรับพอร์ตสินค้าใหม่ รวมทั้งผลกระทบจากสงครามรัสเซีย -ยูเครน ที่ส่งผลให้ราคาวัตถุดิบหลายตัวขยับขึ้น โดยเฉพาะวัตถุดิบที่เป็นส่วนผสมหลักของบริษัท อาทิ น้ำตาล โกโก้ ต้นทุนน้ำมัน การขนส่ง ทำให้ต้นทุนการผลิตขยับสูงขึ้นกว่า 30% ช่วงที่ผ่านมา บริษัทจึงมีการปรับขึ้นราคาสินค้า เช่น HALLS แทง และ OREO ที่ปรับขึ้นราคา 1 บาท หรือประมาณ 20% และยังมีสินค้าอื่นๆ ที่ปรับไปแล้วเฉลี่ย 10-20%
ส่วนสินค้าบางตัวที่ยังไม่มีการปรับขึ้นราคา ก็จะมีการพิจารณากันอีกครั้ง เพราะต้นทุนวัตถุดิบยังทยอยสูงขึ้นต่อเนื่อง คาดว่าจะขยับขึ้นจนถึงต้นปีหน้า
ในช่วงวิกฤตโควิด -19 ที่ผ่านมา บริษัทได้รับผลกระทบจากการล้อคดาวน์ประเทศ ทำให้ยอดขายสินค้าหลัก คือ ลูกอม หมากฝรั่ง เช่น Clorets, Dentyne, HALLS จึงมีการปรับโครงสร้าพอร์ตสินค้าในช่วงที่ผ่านมา จากสัดส่วนลูกอม และหมากฝรั่ง 70% ขยับลดเหลือ 45% แล้วขยายตลาด บิสกิต ช็อกโกแล็ต และชีส ขึ้น มีสัดส่วนราว 35%
ขณะเดียวกัน ยังปรับการทำตลาด เพิ่มกิจกรรมส่งเสริมการขาย มีการจัดดิสเพลย์ และปรับเพิ่มดิสทริบิวเตอร์จากรายเดียวทั่วประเทศ เป็น 6 ราย ซึ่งแต่ละดิสทริบิวเตอร์จะมีความเชี่ยวชาญ และสนิทกับร้านค้าในพื้นที่ ช่วยผลักดันยอดขายของสินค้ามอนเดลิซได้ ซึ่งบริษัทจะพยายามทำกิจกรรมการตลาดเพิ่มมากขึ้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อกระตุ้นการขาย โดยปลายปีจะมีแคมเปญใหญ่ HALLS Breath of Thailand ที่ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ซึ่งเป็นแคมเปญที่ทำต่อเนื่อง
พร้อมกันนี้ ยังเพิ่มช่องทางขายทั้งช่องทางอีคอมเมิร์ซ และการจับมือกับพันธมิตร ฟู้ดเซอร์วิส อาทิ สเวนเซ่น แดรี่ควีน คริสปี้ครีม ตู้เต่าบิน และประมาณพฤศจิกายนนี้ จะร่วมมือกับอเมซอน คาเฟ่ รวมถึงแมคโดนัล สร้างสรรค์เมนูใหม่ๆ ซึ่งถือเป็นอีกช่องทางการขายหนึ่งของมอนเดลิซ ที่เติบโตได้ดีและต่อเนื่อง
คาดว่าปลายปีนี้ จะสามารถลผักดันยอดขายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 5-6% ขณะที่ปี 2564 สามารถเติบโตได้ถึง 7%