วันนี้ 13 กันยายน 2565 นายวาฬิศา ลิขิตชัชวาลวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เดอ ลูน่า ซินโดรม จำกัด ผู้บริหารคลินิกเสริมความงาม เดอ ลูน่า เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนจะขยายธุรกิจคลินิกเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าในประเทศ ที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการศัลยกรรม เสริมความงาม กลายเป็นส่วนหนึ่งในการเสริมสร้างภาพลักษณ์ สร้างความมั่นใจให้กับบุคคล เพิ่มโอกาสในสังคมให้กับผู้คนทุกเพศและทุกวัยไปแล้ว
“เรามีแผนจะขยายจำนวนสาขาของ เดอ ลูน่า คลินิกให้มีสาขาครอบคลุมทั่วประเทศ จากปัจจุบันที่มีคลินิกเสริมความงามจำนวน 3 สาขา ในพื้นที่กรุงเทพฯเท่านั้น นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนรองรับการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยการลงทุนก่อสร้างโรงพยาบาลศัลยกรรมแห่งแรกขึ้นภายในอีก 2 ปีข้างหน้า ซึ่งคาดว่าจะเป็นช่วงปลายปี 2567 อีกด้วย” นายวาฬิศากล่าว
นายวาฬิศา กล่าวว่า ในปี 2564 ที่ผ่านมา เดอ ลูน่า คลินิก มียอดขายอยู่ที่กว่า 40 ล้านบาท และตั้งเป้าหมายว่าจะมียอดขายสูงถึง 100 ล้านบาทในปี 2566 จากการก่อตั้งบริษัทในเดือนเมษายน 2563 เพียงปีเดียวธุรกิจเติบโตสูงกว่า 200% สวนกระแสช่วงวิกฤตเศรษฐกิจและการระบาดของไวรัสโควิด เพราะมั่นใจว่าสังคมยุคใหม่ ผู้คนให้ความใส่ใจเรื่องสุขภาพความงาม อีกทั้งมีความรู้ในการเลือกใช้บริการที่ใช่ และเหมาะสม ที่จะช่วยสร้างความมั่นใจในการประกอบอาชีพ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข
คลินิกเดอ ลูน่า เปิดตัวครั้งแรกในเดือนเมษายน 2563 ในช่วงที่มีการระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศ ด้วยการก่อตั้งคลินิก สาขาแรกที่ย่านศรีนครินทร์ รองรับกลุ่มเป้าหมายทุกเพศ ทุกวัย ที่ต้องการเสริมสร้างความพร้อม เตรียมความมั่นใจในการใช้ชีวิตยุคใหม่
กลยุทธ์ของเดอ ลูน่า คลินิก ในการเข้าสู่ตลาดเสริมความงามนั้น นายวาฬิศา กล่าวว่า เนื่องจากหัวใจสำคัญของธุรกิจนี้ คือการเข้าใจความต้องการของผู้บริโภค ด้วยการบริหารงานแบบ Customer Centric รู้และเข้าใจความต้องการของลูกค้า อะไรเป็น Pain Point ของลูกค้าแล้วจึงนำมาพัฒนาสินค้า และบริการให้สามารถแก้ปัญหาของลูกค้าได้อย่างแท้จริง เรียนรู้จากความผิดพลาด มาปรับปรุงแก้ไขอย่างรวดเร็ว สร้างมาตรฐานใหม่ ด้วยการนำเสนอรูปแบบบริการ และแพคเกจที่สอดแทรกความแปลกใหม่ที่แตกต่างจากคู่แข่งที่มีอยู่มากมายในท้องตลาด
นอกเหนือไปจากนั้น ปัจจัยการเติบโตของเดอ ลูน่า มาจาก การทำการตลาดออนไลน์ เจาะผู้ถึงกลุ่มเป้าหมาย ที่มีความหลากหลายทางเพศ ตอบโจทย์ตรงกลุ่ม พร้อมการนำเสนอแพคเกจ ราคาที่เหมาะสม จนสร้างชื่อเสียงและเติบโตขยายสาขา โดยปัจจุบันมีทั้งหมด 3 สาขา ที่ศรีนครินทร์ อุดมสุข และปิ่นเกล้า ซึ่งแผนขยายสาขาและการสร้างโรงพยาบาลศัลยกรรมนั้น เพื่อรองกับการขยายตัวของตลาดศัลยกรรม ทั้งกลุ่มคนไทยและต่างประเทศ สอดคล้องกับแผนของประเทศ ยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (MEDICAL HUB) (พ.ศ.2560 - 2569) หนึ่งในแผนการสนับสนุนนโยบายด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ Medical and Wellness Tourism ที่เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่สำคัญของรัฐบาลซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศด้วย.