หลังจากการคืนรังของ “สุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธุ์”ที่กลับมาคุมบังเหียนช่อง 3 อีกครั้งภายใต้ภารกิจปั้นดาราเป็นนักร้องและขายละครไปต่างประเทศล้างขาดทุน ล่าสุดความชัดเจนของแผนการขยายตลาดประเทศโดยเฉพาะตลาดจีนซึ่งถือเป็นตลาดใหญ่และมีฐานแฟนละครช่อง 3 ไม่น้อย เพื่อเพิ่มความเข้มข้นของตลาดจีนมากขึ้น บิ๊กบอส “สุรินทร์” ได้เข้าร่วม การเสวนาระหว่างประเทศ“จีนไทยใช่อื่นไกล พี่น้องกัน”
ซึ่งจัดโดย สำนักงานวิทยุและโทรทัศน์แห่งชาติจีน (National Radio and Television Administration) หรือ NRTA ร่วมกับ สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย, บริษัท เซนจูรี่ ยูยู เทคโนโลยี จำกัด และสถานีวิทยุและโทรทัศน์มณฑลเจียงซู ประเทศจีน ” เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้านวิทยุและโทรทัศน์ภายใต้หัวข้อ “โอกาสและศักยภาพความร่วมมือในวงการอุตสาหกรรมวิทยุ และโทรทัศน์ระหว่างจีน-ไทย”
นายสุรินทร์ กฤตยาพงษ์พันธุ์ กรรมการผู้อำนวยการสายธุรกิจโทรทัศน์ บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) ไดเปิดเผยว่า สำหรับงานในครั้งนี้เป็นเสมือนเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอุตสาหกรรมด้านความบันเทิงของจีน–ไทย รวมถึงแลกเปลี่ยนความคิดสร้างสรรค์ในการส่งเสริมอุตสาหกรรม เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจความบันเทิงและวัฒนธรรม เพื่อให้เป็นไปในทิศทางการสร้างเนื้อหาเป็นไปตามมาตรฐาน ตลอดจนการผลิตเนื้อหาของภาพยนตร์ ละคร ซีรีส์ หรือเนื้อหาทางด้านให้ความบันเทิง เพื่อเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับชิ้นงาน
ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลา52 ปี ช่อง 3 สามารถผลิตละครปีละประมาณ 36เรื่อง กว่า 1000 ชั่วโมง เพื่อตอบสนองความนิยมของคนไทยเป็นหลัก แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีและพฤติกรรมการรับชมของดูเปลี่ยนไป ความเป็นสากลที่เพิ่มมากขึ้นทำให้เรามีผู้ชมจากหลายประเทศ ซึ่งปัจจุบันละครของช่อง 3เผยแพร่ไปมากกว่า 30 ประเทศทั่วโลก ซึ่งจีนนับเป็นหนึ่งในประเทศที่มีแฟนละครช่อง 3 เยอะมากที่สุดก็ว่าได้
โดยตั้งแต่ปี 2018 ละครช่อง3 ได้ออนแอร์ให้แฟนๆชาวจีนได้ชมกว่า 40 เรื่อง ดังนั้นหลังจากนี้ช่อง 3 มีแผนเปลี่ยนแปลงทิศทางการทำละครเพื่อตอบโจทย์คนดูในประเทศจีนมากขึ้น และในระยะต่อไปอาจขยายความร่วมมือกับประเทศจีน เพื่อสร้างละครที่ตอบความต้องการทั้งในตลาดไทยและจีน”
ทางด้าน “นางอรุโณชา ภาณุพันธุ์” และกรรมการผู้จัดการ บริษัท บรอดคาซท์ ไทย เทเลวิชั่น จำกัด และโปรดิวเซอร์ละคร “บุพเพสันนิวาส” เผยเพิ่มเติมว่า สำหรับประเทศไทย จีน หรือในเอเชียที่มีวัฒนธรรมบางส่วนคล้ายคลึงกัน ในการทำละครจำเป็นต้องดูกฎระเบียบหรือศึกษาการเซ็นเซอร์เนื้อหาให้เหมาะสมกับบริบทในประเทศนั้น ๆ และต้องมีความสนุกสนานด้วย
“ละครเรื่องบุพเพสันนิวาส เป็นบทพิสูจน์ว่าเราสามารถสอดแทรกวัฒนธรรมไปในละครได้ เราได้แสดงถึงความแข็งแรงด้าน Soft Power ที่ครอบคลุมเรื่องการแต่งกาย อาหารไทย การท่องเที่ยว ผ่านตัวบทละครที่ดีและการสร้างสรรค์บนความตั้งใจ เพื่อให้งานออกมามีคุณภาพ และสามารถสร้างกระแสสร้างเรตติ้งได้สูง แสดงให้เห็นว่าแม้จะมีปัจจัยด้านดิจิทัลเข้ามา แต่ถ้าเรามีเนื้อหาคอนเทนต์ที่คนดูชอบ พวกเขาก็ยังเลือกดูทีวีอยู่”